“หากอยากให้คนเข้าเว็บไซต์ คุณควรทำ SEO” คุณคงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง แล้วคุณต้องการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ SEO กันแล้วใช่ไหม? ก่อนที่ผมจะสอนคุณถึงวิธีการจัดอันดับของ Search Engine และวิธีการทำ SEO แบบละเอียด ผมจะมาอธิบายคำจำกัดความของ SEO กันก่อน จากนั้นเราจะเจาะลึกลงไปว่า SEO ทำงานอย่างไร
- SEO คืออะไร?
- SEO สำคัญอย่างไร?
- SEO Vs SEM แตกต่างกันอย่างไร?
- องค์ประกอบหลักของ SEO: On-Page SEO , Off-Page SEO , Technical SEO
- กลยุทธ์ SEO: สายเทา Vs สายขาว (Black Hat SEO Vs White Hat SEO)
- Search Engine หรือเครื่องมือค้นหา Google ทำงานอย่างไร?
- SEO ทำงานอย่างไร?
- 5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ SEO
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO
SEO คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกระบวนการดำเนินการเพื่อช่วยให้เว็บไซต์หรือเนื้อหามีอันดับสูงขึ้นในเครื่องมือค้นหา อย่างเช่น Google หรือ Bing และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าชมแบบ Organic Traffic คุณสามารถรับทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ของคุณแบบ “ฟรี” ไม่ต้องเสียเงินต่อคลิก (SEM) เดือนแล้วเดือนเล่า โดยพื้นฐานแล้ว SEO นั้นเกี่ยวกับการปรับเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการในการค้นหาของผู้เข้าชมโดยการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง มีคุณภาพสูง และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าชม
SEO สำคัญอย่างไร?
คุณสงสัยไหมว่าทำไมต้องทำ SEO และ SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจของคุณขนาดไหน? ทุกๆวันมีคนใช้ Google ทำการค้นหาข้อมูลและผลิตภัณฑ์หลายพันล้านครั้ง งั้นไม่แปลกใจเลยที่ Search Engine จะเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของการดึงทราฟฟิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณที่ใหญ่ที่สุด และหากคุณอยากที่จะใช้ประโยชน์จากทราฟฟิกการเข้าชมนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องปรากฏในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณ หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่สูง ผู้คนก็จะเข้าชมเพจของคุณมากขึ้น เราสามารถดูได้จากสถิติทั่วโลก เว็บอันดับ 1 มีแนวโน้มที่จะได้รับการคลิกมากกว่าตำแหน่งอันดับ 10 ถึง 10 เท่า
ข้อมูลจาก SEMRUSH
SEO มีบทบาทสำคัญในการปรับตำแหน่งเว็บไซต์ของคุณ การจัดอันดับที่ดีขึ้นหมายถึงการเข้าชมที่มากขึ้น และการเข้าชมที่มากขึ้นหมายถึงลูกค้าใหม่และต่อยอดสร้างความรู้จักแบรนด์ที่มากขึ้นด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่คุณไม่สนใจทำ SEO หมายถึงการเพิกเฉยต่อโอกาสสร้างทราฟฟิกเข้าชมที่สำคัญที่สุดช่องหนึ่ง โดยปล่อยให้พื้นที่นั้นตกเป็นของคู่แข่งของคุณซะงั้น
การที่คุณทำให้อันดับเว็บแข็งแกร่งมีประโยชน์มากมาย นี่เป็นเพียงไม่กี่เหตุผลที่ SEO มีความสำคัญกับธุรกิจของคุณ:
- ต้นทุนต่ำ
- มอบ ROI ที่ยอดเยี่ยม
- ให้ข้อมูลที่สามารถดำเนินการได้
- เปิดโอกาสในการขายผ่านช่องทางการตลาด
- เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และแบรนด์ของคุณ
- ดึงดูดผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องจริง
SEO Vs SEM แตกต่างกันอย่างไร?
หน้าแสดงผลของเครื่องมือค้นหา Google แบ่งการแสดงผลเป็น 2 ประเภทที่แตกต่างกัน:
- SEM (เว็บไซต์ที่จ่ายเงินต่อคลิก): Search Engine Marketing คือ คุณต้องจ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ ผ่านการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก Pay Per Click (PPC)
- SEO (เว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นมาแบบ Organic): คุณต้องได้รับเลือกจาก Google ผ่านการทำ SEO
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SEO และการโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่ายหรือ SEM ก็คือ การทำ SEO หมายความว่าคุณไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิกเพื่ออยู่ในอันดับนั้น เเต่เป็นการนำเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณส่วนหนึ่งมาปรับแต่งเพื่อให้เครื่องมือค้นหาอย่างเช่น Google แสดงเนื้อหาดังกล่าวที่ด้านบนสุดของหน้าเมื่อมีผู้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เขาต้องการ
คุณอาจตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่จ่ายเงินไปเลยเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในส่วนโฆษณา”
คำตอบนั้นง่ายมาก ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่สนใจโฆษณาและคลิกที่ผลลัพธ์ทั่วไปแทน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ถูก Google เลือกมาเเล้วว่าตอบสนองความต้องการการค้นหาของผู้คนอย่างแท้จริง (Search Intent)
ใช่ครับ! SEO ต้องใช้เวลา ใช้ความพยายามมากกว่า แต่เมื่อเว็บไซต์ของคุณสามารถขึ้นอันดับตามคีย์เวิร์ดเป้าหมาย คุณจะสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นและสร้างทราฟฟิกแบบ Passive ที่ไม่หายไปเมื่อคุณหยุดจ่ายเงิน
องค์ประกอบหลักของ SEO: On-Page SEO , Off-Page SEO , Technical SEO
การทำ SEO แบ่งองค์ประกอบหลักออกเป็นสามหมวดหมู่หลักๆ “On-Page” “Off-Page” และ “Technical” เเละสามารถแบ่งย่อยออกมาคร่าวๆได้ตามนี้:
- การค้นหาคีย์เวิร์ด
- การสร้างและปรับแต่งเนื้อหา
- การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค
- การสร้างลิงค์
หากเทียบกัน On-Page และ Off-Page มีความสำคัญเท่าๆกัน
On-Page SEO นั้นเกี่ยวกับการสร้างเนื้อหาเพื่อปรับปรุงอันดับของคุณ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการรวบรวมคีย์เวิร์ดไว้ในเพจและเนื้อหาของคุณ การเขียนเนื้อหาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมตาแท็กและชื่อเรื่องของคุณเต็มไปด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword)และเขียนดี และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย
Off-page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นจากเว็บไซต์ของคุณเอง เช่น การได้รับแบ็คลิงค์ (Backlinks) ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่นและการสร้างเนื้อหาที่ผู้คนต้องการแบ่งปันให้กัน เป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จของ SEO
ในส่วนของ Technical SEO จะเกี่ยวข้องกับการปรับสปีดความเร็วในการโหลดเว็บ โครงสร้างของเว็บ และ การจัดการแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น
กลยุทธ์ SEO: สายเทา Vs สายขาว (Black Hat SEO Vs White Hat SEO)
เมื่อพูดถึง กลยุทธ์ SEO การโกง Google เพื่อดันอันดับเว็บไซต์อย่างรวดเร็วมักถูกเรียกว่า “Black Hat SEO” หรือ SEO สายเทา คนที่ทำ SEO แบบนี้มักจะใช้กลวิธีลับๆ ล่อๆ เช่น การใส่คีย์เวิร์ดเยอะๆและการปั๊มแบ็คลิงก์เพื่อจัดอันดับอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องบอกว่าอาจได้ผลในระยะสั้นและทำให้คุณได้รับปริมาณการเข้าชมไซต์ของคุณ แต่หลังจากนั้นไม่นาน Google จะทำการลงโทษและอาจแบนเว็บไซต์ของคุณขึ้นบัญชีด ทำให้ไม่สามารถกลับมาติดอันดับได้อีกเลย Google Search Console
ในทางกลับกันการทำ SEO สายขาว เป็นวิธีสร้างการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจของคุณที่ยั่งยืน หากคุณทำ SEO ด้วยวิธีนี้ คุณจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของทราฟฟิกคนจริงๆ คุณจะพยายามให้เนื้อหาที่ดีที่สุดแก่พวกเขาและทำให้เข้าถึงได้ง่ายโดยเล่นตามกฎของเครื่องมือค้นหา Google
SEO สายเทา แบ่งออกเป็นปัจจัยต่างๆในหัวข้อเหล่านี้:
- เนื้อหาที่ซ้ำกัน (Duplicated Content): เมื่อคุณพยายามทำอันดับคีย์เวิร์ดบางคำ คุณอาจทำเนื้อหาซ้ำๆในเว็บไซต์ของคุณเพื่อพยายามสแปมคีย์เวิร์ดนั้นในบทความซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมบอกเลยว่า Google จะลงโทษเว็บไซต์ที่ทำเช่นนี้แน่นอน!
- การใส่ข้อความและคีย์เวิร์ดแบบล่องหน (ซ่อนคีย์เวิร์ด): หลายปีก่อน กลยุทธ์ SEO สายเทา ที่นิยมทำกันคือการรวมคีย์เวิร์ดจำนวนมากไว้ที่ด้านล่างของบทความของคุณ แต่ทำให้เป็นสีเดียวกับพื้นหลัง ปัจจุบันกลยุทธ์นี้จะทำให้เว็บของคุณขึ้นบัญชีดำของ Google อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการใส่คีย์เวิร์ดที่ไม่ได้อยู่ในนั้น
- การเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect): เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนเส้นทาง Redirect นั้น จริงๆมีวิธีที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง วิธีที่ผิดคือการซื้อโดเมนที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจำนวนมากและ Redirect เว็บไซต์ทั้งหมดนั้นไปยังเว็บของคุณเว็บไซต์เดียว
- การสร้างแบ็คลิงค์สแปม: การซื้อแพ็คเกจแบ็คลิงค์ที่สัญญาว่าคุณจะได้รับลิงก์ 50,000 ลิงก์ใน 24 ชั่วโมงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการสร้างลิงก์ คุณต้องได้รับลิงก์จากเนื้อหาและไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเท้นต์บนเว็บไซต์ของคุณถึงจะถูก
เนื่องจาก Google ลงโทษกลยุทธ์ SEO สายเทาเหล่านี้ ผมจะพูดถึง SEO สายขาวเท่านั้น และทางผมก็ รับทำ SEO สายขาว ในโลกของ SEO นั้น สิ่งที่คุณทำอาจไม่สำคัญมากนัก เพราะไม่มีอะไรถูกผิดแบบ 100% แต่วิธีการที่คุณทำ จำเป็นต้องถูกต้องตามกฏ หากคุณซื้อโพสต์บนเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอนเท้นของคุณ และสแปมแบ็คลิงก์จำนวนมาก คุณจะโดนลงโทษ ในทางตรงกันข้ามหากคุณกำลังสร้างโพสต์ที่ไม่ซ้ำใครซึ่งให้คุณค่าแก่ผู้อ่านบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของคุณก็ไม่มีปัญหา และแบ็คลิงก์จากเว็บอื่นจะหลั่งไหลไปยังเว็บไซต์ของคุณโดยปริยาย
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO สายเทาได้จากบทความด้านล่างนี้ครับ:
Search Engine หรือเครื่องมือค้นหา Google ทำงานอย่างไร?
ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า รายละเอียดการทำงานของ Search Engine มีอะไรบ้าง
เป้าหมายสูงสุดของ Search Engine คือการทำให้ผู้ค้นหาพอใจกับผลลัพธ์ที่พบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Google จำเป็นต้องค้นหาหน้าที่ดีที่สุดและแสดงผลเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์นั้นเป็นอันดับต้น ๆ
หมายเหตุ: Google ไม่ใช่เครื่องมือค้นหาเดียวในโลกนี้ แต่เป็น Search Engine ที่นิยมมากที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอ้างถึง Google ทุกครั้งที่เราพูดถึงเครื่องมือค้นหา
Google ใช้ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อค้นหาและจัดอันดับ Website Ranking:
- รวบรวมข้อมูล: Google ใช้ “บอท” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลเว็บและค้นหาหน้าใหม่ เพื่อให้ Google ค้นหาหน้า หน้านั้นควรมีลิงก์อย่างน้อยหนึ่งลิงก์ที่ชี้ไปที่หน้านั้นๆบนเว็บไซต์เรา (Backlink)
- จัดทำดัชนี: ต่อไป Google จะวิเคราะห์แต่ละหน้าและพยายามทำความเข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร จากนั้นจึงเก็บข้อมูลนี้ไว้ในดัชนี (Index) ของ Google ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่
- แสดงผลลัพธ์:เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อความค้นหาจากคีย์เวิร์ด Google จะพิจารณาว่าหน้าใดดีที่สุด ทั้งในแง่ของคุณภาพและความเกี่ยวข้อง และจัดอันดับหน้าเหล่านั้นใน Search Engine Results Page (SERP)
งานของคุณในฐานะเจ้าของเว็บไซต์คือการช่วยเครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าทั้งหมดบนไซต์ของคุณที่คุณต้องการให้พวกเขาทำ (และหน้าที่คุณไม่ต้องการให้ทำ) คุณสามารถช่วยให้การรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของหน้าเว็บของคุณดำเนินการได้ไหลลื่นที่สุดด้วยวิธีการที่เรียกว่า Technical SEO
SEO ทำงานอย่างไร?
Google ใช้กระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนหรือที่เรียกว่า “อัลกอริทึม” เพื่อจัดอันดับหน้าเว็บ อัลกอริทึมเหล่านี้คำนึงถึงปัจจัยการจัดอันดับจำนวนมากเพื่อตัดสินใจว่าหน้าใดควรอยู่ในอันดับใด
คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอัลกอริทึมการค้นหาทำงานอย่างไร (ที่จริงไม่มีใครทำได้แน่นอน 100%) ไม่มีตัวชี้วัดตายตัวว่าถูกหรือผิด
อย่างไรก็ตาม การทราบปัจจัยพื้นฐานสามารถช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำงานของ SEO ได้ดีขึ้น และต้องใช้อะไรบ้างในการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บของคุณให้ติดอันดับใน Google
คีย์เวิร์ด (Keywords)
การเรียนรู้พื้นฐาน SEO คือการทำความเข้าใจวิธีการทำวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างถูกวิธี มาดูกันว่าทำอย่างไรครับ
ค้นหาคีย์เวิร์ดให้กับเว็บไซต์ของคุณ
เราเรียกคำพวกนี้ว่า Focus Keyword หรือ Money Keyword ซึ่งเป็นคำที่ลูกค้าค้นหาเมื่อพวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่คุณขายหรือต้องการนำเสนอ
ตัวอย่างเช่น สำหรับร้านขายเครื่องสำอางอาจจะมีโฟกัสคีย์เวิร์ดพวกนี้:
- เครื่องสำอาง ราคาถูก
- อายไลย์เนอร์
- ลิปสติก
- ครีมทาหน้า
วิธีค้นหาโฟกัสคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ของคุณมีดังนี้:
ให้จดคำศัพท์ต่างๆ ที่คุณคาดว่าลูกค้าจะใช้เมื่อค้นหาธุรกิจที่คล้ายกับของคุณบน Google
ไม่มีเงื่อนไขที่ถูกหรือผิดที่นี่ นี่เป็นวิธีการระดมไอเดียมากกว่า เป้าหมายคือการแสดงรายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด
เมื่อคุณมีรายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่เป็นไปได้แล้ว ให้ไปที่เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่คุณเลือก
สำหรับตัวอย่างนี้ เราจะใช้ Ubersuggest เป็นหลัก
ป้อนคำค้นหาจากรายการของคุณและเลือก “Search”
เครื่องมือจะแจ้งรายละเอียดสำหรับ Keyword แต่ละคำ รวมถึงปริมาณการค้นหารายเดือนและความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword) (SEO Difficulty)
นี่คือสถิติสำคัญสองอย่างที่คุณจะใช้ในการเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดจากรายการของคุณ
ยิ่งปริมาณการค้นหาสูง คุณก็มีโอกาสได้รับทราฟฟิกมากขึ้น Canonical Tag
ในทางกลับกัน ปริมาณการค้นหาที่สูงขึ้นยังหมายถึงความยากของคีย์เวิร์ดที่มากขึ้น (SEO Difficulty)
สำหรับความยากในการติดอันดับหน้าแรกของ Google สำหรับคำนั้นๆ คงไม่จำเป็นต้องบอกว่ายิ่งต่ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ค้นหา Long Tail Keyword
รายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่คุณเพิ่งคิดขึ้นมาอาจใช้งานได้ แต่การที่เราเพิ่มคำศัพท์ Long Tail Keyword เหล่านั้นก็จะช่วยให้มีโอกาสได้รับทราฟฟิกอย่างคุ้มค่าเช่นกัน
Long Tail Keyword คือข้อความค้นหาที่ยาวขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีปริมาณการค้นหาที่ต่ำกว่าแต่มีความตั้งใจในระดับที่สูงกว่า
ซึ่งหมายความว่าคำพวกนี้สามารถแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Focus Keyword นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่คุณจะพบเจอการแข่งขันหน้าแรกในระดับที่ต่ำกว่า
มีสองปัจจัยหลักที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ด (Keyword) ได้แก่ ปริมาณการค้นหารายเดือนและการแข่งขัน
การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นศิลปะมากกว่า โดยทั่วไป คุณต้องการกำหนดเป้าหมายคำที่มีการแข่งขันต่ำในตอนแรก (แม้ว่าจะมีปริมาณการค้นหาไม่มากก็ตาม)
คุณสามารถปรับจำนวนการแข่งขันคีย์เวิร์ดที่แข่งขันได้มากขึ้นเมื่อ SEO ของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้น
เนื้อหา
เนื่องจาก Google มีเป้าหมายหลักให้คนผู้ใช้พบผลลัพธ์ที่ตอบสนองความต้องการของตนได้ดีที่สุด เนื้อหาของเว็บไซต์คุณจึงสำคัญอย่างยิ่งยวดในการที่จะช่วยให้อันดับคุณดีได้
เมื่อคุณเซิชว่า “รองเท้าผ้าใบ” Google จะเเสดงผลเป็นรูปและเว็บ E-commerce Sitemap ซึ่งมีรองเท้าผ้าใบให้เลือกดูเลือกซื้อหลากหลาย ก่อนที่จะเเสดงผลเป็นเว็บไซต์บทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ รองเท้าผ้าใบ เป็นต้น
ซึ่งหมายความว่างานอันดับหนึ่งของคุณที่จะทำได้ดีกับ SEO คือการผลิตเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม คุณเป็นคนขี้เกียจใช่มั้ย? อย่าเพิ่งยอมแพ้ครับ ผมจะเป็นคนไกด์คุณเอง! SEO ไม่ต่างจากทักษะอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาย่อมเกิดจากความพยายามอย่างมาก
องค์ประกอบของเนื้อหา
ในมุมของ SEO นั้น มีองค์ประกอบนับล้านที่ใช้ในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง นี่คือบางส่วนที่สำคัญที่สุดที่ผมเลือกมาให้อ่านกัน:
คุณภาพ
การโพสต์เนื้อหาที่มีคีย์เวิร์ดไม่เพียงพออีกต่อไป หากคุณกำลังสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพซึ่งช่วยแก้ปัญหาของใครบางคนได้ แสดงว่าเว็บของคุณโดดเด่น และทำให้ง่ายต่อการจัดอันดับ
ทุกวันนี้ หลายๆเว็บมีเนื้อหาคุณภาพดีขึ้นมาก และธุรกิจออนไลน์จำนวนมากมีบล็อกที่ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไซต์ของตนและอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นใน Google
การคิดเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข่าวดีก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องสร้างเนื้อหาตั้งแต่เริ่มต้นเสมอไป คุณสามารถพึ่งพาสิ่งที่คนอื่นสร้างขึ้นได้ แต่เพียงเพิ่มมูลค่ามากขึ้นและทำให้เนื้อหาของคุณมีรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น
ท้ายสุดเเล้ว เนื้อหาของคุณต้องแก้ปัญหาหรือเสนอวิธีแก้ไขอะไรก็ตามที่นำผู้อ่านมาที่โพสต์ของคุณ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะคลิกออกจากหน้าของคุณอย่างรวดเร็ว เป็นการบอก Google ว่าเนื้อหาของคุณไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ใคร ทำให้อันดับเว็บของคุณก็ตกลงไปด้วยครับ
Search Intent หรือ ความตอบโจทย์การค้นหา
Google ให้ความสำคัญกับ Search Intent หรือ ความตอบโจทย์เป็นอย่างมาก ต้องการทำความเข้าใจว่าผู้ค้นหากำลังมองหาอะไรเมื่อพิมพ์บางอย่างลงในแถบค้นหา
- พวกเขาต้องการรู้อะไรไหม?
- พวกเขากำลังพยายามซื้ออะไรอยู่หรือเปล่า?
- พวกเขากำลังอยากดูวิดิโอหรือไม่?
ในฐานะผู้สร้างเนื้อหา คุณต้องเข้าใจสิ่งนี้เช่นกัน คุณไม่สามารถสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ “เครื่องสำอาง” และกำหนดเป้าหมาย “วิธีใช้เครื่องสำอาง” เป็นคีย์เวิร์ดหลักของคุณได้ มันไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะปกติแล้วผู้คนจะไม่ได้ต้องการหาวิธีการใช้ แต่เป็นการหาเลือกซื้อสินค้าเครื่องสำอางต่างหาก หากคุณไม่ได้ให้คำตอบที่ตอบโจทย์สำหรับคำถาม และ Google จะรู้
ความสดใหม่
เกณฑ์มาตรฐานที่แสดงให้เห็นว่าการโพสต์บ่อยๆ กับความสดใหม่ที่อัพเดตเรื่อยๆของเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ จะช่วยในการจัดอันดับของ Google มาก อย่างไรก็ตาม การโพสต์เนื้อหาใหม่เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณความสดใหม่ของ Google ยังมีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้กับเนื้อหาที่คุณเผยแพร่แล้วเพื่อทำให้เนื้อหาเป็นปัจจุบันมากขึ้น เช่น แก้ไขโพสเดิม หรือ เพิ่มรูปภาพและวิดิโอที่สอดคล้องเข้าไป
การตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหาของคุณเพื่อความถูกต้อง แก้ไขลิงก์ที่เสีย และรีเฟรชข้อมูลเก่าด้วยข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ล้วนเป็นวิธีที่จะแสดงให้ Google เห็นว่าเนื้อหาของคุณสดใหม่และยังคงสมควรได้รับตำแหน่งในหน้าแรกในการทำ Local SEO
สัญญาณ E-A-T
Google ให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ ความมีอำนาจ และความน่าเชื่อถือ (EAT) เป็นอย่างมาก คุณควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่คุณเขียน และแสดงให้เห็นทั้งใน On-Page และ Off-Page
EAT ประกอบไปด้วย:
- Expertise
- Authority
- Trustworthiness
4 เคล็ดลับในการปรับปรุงคะแนน EAT ของคุณ
- ทำวิจัย: สิ่งนี้อาจดูเหมือนชัดเจน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริงคือการแบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้อง อาจจะนำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือแขกรับเชิญเข้ามาเมื่อคุณทำได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณกำลังแบ่งปันนั้นถูกต้อง
- ละเอียดถี่ถ้วน : หลังจากที่คุณแน่ใจว่าข้อมูลของคุณถูกต้องแล้ว คุณจะต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นครอบคลุม การตอบคำถามด้วยโพสต์สั้นๆ หรือง่ายๆ อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นการเพิกเฉย ในการที่จะถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เนื้อหาของคุณต้องทำให้ผู้อ่านรู้สึกพึงพอใจ
- พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้: เมื่อคุณพัฒนาเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ให้ยึดติดกับสิ่งที่คุณเป็นในฐานะแบรนด์ หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ การยึดติดกับหัวข้อความเชี่ยวชาญของคุณจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับคุณในฐานะแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น
- ทำเนื้อหาให้ตรงความต้องการของผู้ชมของคุณ: คุณจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจในใจของผู้อ่านได้ก็ต่อเมื่อคุณพูดเกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้อ่านกำลังจะอ่านจริงๆ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่ามันเกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับอะไร? แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? มีความแตกต่างระหว่างความสามารถในการพูดอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่งๆ เพราะคุณรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีกับความสามารถในการสอนในรูปแบบที่รู้สึกว่าเข้าถึงได้และตรงประเด็น ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเห็นว่าคุณเป็นผู้มีอำนาจและเป็นคนที่พวกเขาสามารถไว้วางใจได้
3 เคล็ดลับในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ
นี่คือเคล็ดลับที่ดีที่สุดของฉันในการสร้างเนื้อหาที่ดีที่สุดที่ผู้อ่านรักและเคารพใน Google:
- เข้าใจเจตนาของผู้ใช้:คุณต้องรู้ว่าผู้อ่านต้องการบรรลุอะไรเมื่อพวกเขามาถึงหน้าของคุณ เพื่อพยายามทำ Featured Snippet
- แบ่งข้อความเป็นส่วนๆ: ผู้คนสมัยนี้มีสมาธิสั้น และการเขียนข้อความเป็นหลายสิบหน้าไม่ได้ผลอีกต่อไป คุณต้องแยกมันออกด้วย Heading และรูปภาพมากมาย
- นำไปปฏิบัติได้: ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการอ่านเนื้อหาเสร็จแล้ว นำไปใช้งานไม่ได้ เนื้อหาของคุณควรละเอียดถี่ถ้วน แต่จำเป็นต้องตอบคำถามว่า ต่อจากนี้ ผู้อ่านจะเข้าใจและนำทุกสิ่งที่ต้องการไปใช้งานต่อเมื่อบทความของคุณจบหรือไม่?
เว็บไซต์ใช้งานได้อย่างมิตรและลื่นไหล
Google ชื่นชอบเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ใช้งานง่าย อ่านสะบาย ไม่รกตา
Technical SEO มีบทบาทสำคัญในที่นี่อีกครั้ง นอกจากการตรวจสอบความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของเว็บไซต์ของคุณแล้ว คุณยังต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณตรงตามมาตรฐานการใช้งานอีกด้วย ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น:
- ความปลอดภัยของเว็บไซต์ : เว็บไซต์ของคุณควรเป็นไปตามเกณฑ์ความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น มีใบรับรอง SSL
- ความเร็วของหน้า (Page Speed): Google จัดอันดับหน้าที่โหลดเร็วกว่าในการเเสดงผลการค้นหาเนื่องจากให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีกว่า
- ความเป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Friendliness): Google ประเมินเนื้อหาของคุณตามประสิทธิภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ Mobile SEO ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้มือถือสามารถเข้าถึงเนื้อหาของคุณได้อย่างง่ายดาย
- ใช้งานง่าย:คุณควรมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ง่ายต่อการติดตามซึ่งช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถค้นหาทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว และเปิดหน้าเว็บของคุณโดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ
ลิงค์ หรือ Backlinks
ผมยังคงเชื่อว่าลิงก์หรือ Backlinks เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดสำหรับ Google
ปัญหาหนึ่งที่คนทำ SEO จำนวนมากพบเจอคือพวกเขาไม่เข้าใจวิธีการทำอย่างถูกต้อง หากคุณใช้กลยุทธ์ที่ไม่ถูกต้อง คุณกำลังล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หากคุณเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ระยะยาวและสร้างลิงก์อย่างถูกวิธี อาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อย แต่คุณจะขอบคุณตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอนครับ
องค์ประกอบของการสร้างลิงค์
โดยพื้นฐานแล้วแบ็คลิงค์ทำหน้าที่เป็นคะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ให้กับเครื่องมือค้นหา
โดยทั่วไป ยิ่งเว็บของคุณได้รับลิงก์คุณภาพสูงมากเท่าไหร่ เว็บของคุณก็จะมีอำนาจในสายตาของ Google มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสามารถนำไปสู่อันดับที่สูงขึ้นได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการสร้างลิงก์กลับมายังไซต์ของคุณจึงเป็นส่วนสำคัญของ SEO
มีกลยุทธ์การสร้างลิงค์มากมาย ตัวอย่างเช่น:
- การสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ :การสร้างเนื้อหาที่ให้คุณค่าสูงสุดและดึงดูดลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ (เช่น การวิจัยต้นฉบับ รูปภาพต้นฉบับ เครื่องมือฟรี)
- การทำ Guest Post :การเขียนโพสต์สำหรับเว็บไซต์อื่นเพื่อเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ
- การสร้างลิงค์เสีย:การค้นหาลิงก์ที่ใช้ไม่ได้แล้วในเว็บไซต์อื่น และแนะนำลิงก์ไปยังหน้าของคุณแทน
ต่อไปนี้คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ควรพิจารณาเมื่อสร้างลิงก์สำหรับไซต์ของคุณ:
ลิงค์คุณภาพ
แม้ว่าลิงก์จะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เมื่อดูที่ลิงก์คุณภาพของลิงก์คือทุกอย่าง ลิงค์คุณภาพสำคัญมากกว่าจำนวนลิงค์ที่คุณมี การสร้างแบ็คลิงค์ที่มีคุณภาพนั้นเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งที่มาที่ถูกต้องและเสนอคุณค่าเพื่อแลกกับลิงก์
คนส่วนใหญ่ดูเฉพาะจำนวนลิงก์ทั้งหมด แต่นั่นเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยเหตุผลบางประการ:
- เครื่องมือค้นหาอาจเพิกเฉยต่อลิงก์ส่วนใหญ่ หากลิงก์เหล่านั้นมีคุณภาพต่ำหรือเป็นสแปม
- ลิงก์จากเว็บไซต์ใหม่มีค่ามากกว่าลิงก์ซ้ำจากเว็บไซต์เดิม
- ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมีค่ามากกว่าลิงก์จำนวนมากจากเว็บไซต์ของคุณเอง (จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง)
คำถามคือคุณจะระบุลิงก์ที่ไม่ดีจากลิงก์ที่ดีได้อย่างไร
เป้าหมายของการสร้างลิงก์คือการเขียนGuest Postบนเว็บไซต์ที่มีผู้สนใจในความเชี่ยวชาญของคุณ
เว็บไซต์ที่คุณเลือกเขียนGuest Postควรมีปริมาณการเข้าชมเป็นของตัวเอง เมื่อเว็บไซต์มีปริมาณการเข้าชมหรือทราฟฟิก ลิงก์จะหลั่งไหลไปในทิศทางของคุณมากขึ้นเนื่องจากผู้คนเห็นสิ่งที่คุณกำลังเสนอให้
Anchor Text
Anchor Text คือข้อความที่ใช้กำกับลิงก์ เป้าหมายคือเพื่อให้ข้อความดูเป็นธรรมชาติที่สุดในบทความ คุณต้องการมี anchor text หลากหลายประเภท
สิ่งหนึ่งที่คุณไม่ต้องการทำคือมีข้อความจำนวนมากที่ระบุว่า “คลิกที่นี่” ชี้ไปที่เว็บไซต์ของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเขียนบทความเกี่ยวกับบ้านพักคนชราและกำลังพยายามหาลิงก์ไปยังบทความนั้น คุณอาจต้องการใช้ Anchor Text ที่มีลิงก์เพื่อบอกว่า “บ้านพักคนชราในกทม.” การทำเช่นนี้จะช่วยบอก Google ว่าคอนเท้นต์ของคุณเกี่ยวกับอะไรเมื่อมีคนคลิกเข้ามา
จำนวนลิงค์
ประการสุดท้าย จำนวนลิงก์ทั้งหมดที่คุณมีก็มีความสำคัญเช่นกัน และคุณต้องสร้างแบ็คลิงก์ (Backlinks)คุณภาพสูงเพิ่มขึ้นตามขนาดเมื่อเวลาผ่านไป
เว็บไซต์ที่มีลิงก์คุณภาพสูงมักจะได้เปรียบกว่า อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับหน้าที่คุณได้รับลิงก์ไปอีกด้วย ลิงก์ไปยังหน้าแรกของคุณนั้นดี แต่ลิงก์ทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่เชื่อมโยงไปยังหน้าแรก เว้นแต่ว่าลิงก์เหล่านั้นจะกล่าวถึงชื่อแบรนด์ของคุณโดยเฉพาะ
สิ่งที่คุณมักพบคือผู้คนเชื่อมโยงไปยังเพจหรือโพสต์บนไซต์ของคุณ ถ้าเป็นไปได้ คุณต้องการให้แน่ใจว่าแหล่งที่มา Google Sitelinks ที่ถูกต้องเชื่อมโยงไปยังหน้าที่ถูกต้อง
อีกประการนึงคือคุณต้องพิจารณาว่าลิงก์เหล่านั้นมาจากไหนและอย่างไร แหล่งที่มาที่มีคุณภาพของลิงก์ที่คุณได้รับก็มีความสำคัญเช่นกัน สถานที่ที่พวกเขาลิงก์ไปก็เช่นกัน
3 เคล็ดลับในการปรับปรุงโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณ
ผมจะบอกเทคนิคขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อปรับปรุงโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณ และทำให้แน่ใจว่าคุณได้รับลิงก์มากที่สุดจากความพยายามของคุณ
- อย่าใช้ทางลัด:ไม่มีทางลัดในการสร้างลิงค์ คุณต้องใช้เวลาและสร้างมันอย่างถูกวิธี สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสนทนากับผู้คน การเสนอขายด้วยตัวคุณเอง และบอกพวกเขาว่าคุณสามารถให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ของพวกเขาได้อย่างไร พยายามเสนอขายผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
- ลบลิงก์ที่เป็นอันตราย: Google มีสิ่งที่เรียกว่า Disavow Tool ที่จะให้คุณลบลิงก์ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการจัดอันดับของคุณ คุณจะต้องใช้เครื่องมือนี้อย่างระมัดระวังเนื่องจากการปฏิเสธลิงก์จำนวนมากอาจเป็นอันตรายต่อไซต์ของคุณ การลบลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือที่อาจโผล่เข้ามาในโปรไฟล์ของคุณโดยไม่ตั้งใจสามารถช่วยล้างโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณได้
- อย่าลืมการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของคุณเอง (Internal Links): การเชื่อมโยงภายในเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เราไม่ควรกังวลเฉพาะลิงก์ภายนอกเท่านั้น แน่นอนว่าลิงก์ภายนอกมีความสำคัญ แต่การเชื่อมโยงหน้าต่างๆของเว็บที่มีหัวข้อเดียวกันจะช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลไซต์ของคุณได้ Google ให้ความสำคัญกับความตั้งใจในการค้นหาและความครอบคลุมโดยรวมของเนื้อหา หากคุณสามารถแก้ปัญหาของทุกคนได้ในที่เดียวด้วยกลุ่มบทความที่ครอบคลุมหัวข้อหนึ่งๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ Google จะให้รางวัลแก่คุณ
Social Signal สัญญาณจากโซเชี่ยลมีเดีย
สุดท้ายนี้ผมจะพามาดูปัจจัยทาง Social ของการทำ Off-Page SEO กัน นอกจากสัญญาณโซเชียลโดยตรงจากผู้ค้นหาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ส่งผลที่ดีบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้คุณมีอันดับดีขึ้น
องค์ประกอบของโซเชียลสำหรับ SEO
โซเชียลมีเดียมีสองปัจจัยหลักที่มีผลอย่างมาก:
คุณภาพของการแชร์
การตลาด SEO และการตลาดโซเชียลมีเดียเป็นของคู่กัน เพราะเป้าหมายคือการบอก Google ว่าคุณเก่งและดังแค่ไหน หากผู้คนที่นั่นแชร์เนื้อหาของคุณและกระจายการเข้าถึงให้มากขึ้น นั่นก็เป็นการบอกอะไรกับ Google แล้วครับ มันบอกพวกเขาว่าคนชอบสิ่งที่คุณนำเสนอและเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ดีแก่ผู้คน
จำนวนของการแชร์
การได้รับความนิยมแบบไวรัลเป็นความฝันของนักการตลาดทุกคน ในการรับส่วนแบ่งในเกม SEO คุณเพียงแค่ต้องสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมที่ผู้คนชอบอ่านบนไซต์ที่ผู้คนกำลังอ่านอยู่ นั่นเป็นอีกครั้งว่าทำไมผมถึงบอกว่าคอนเท้นต์บนเว็บไซต์ที่มีผู้อ่านจริงมีความสำคัญเพียงใด หากคุณสร้างคอรเท้นต์ที่ไม่มีคนอ่าน คุณคิดว่าโพสต์นั้นจะได้รับการแชร์ไหมครับ?
3 เคล็ดลับในการเพิ่มการแชร์คอนเท้นต์ของคุณ
ผมจะอธิบายเคล็ดลับ 3 ข้อในการเพิ่มการแชร์บนโซเชียลมีเดีย:
- สร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม:การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพดีที่สุด แล้ว Google จะให้รางวัลแก่คุณ
- ความสม่ำเสมอ: ความทำเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งใน SEO และโซเชียลมีเดีย หากคุณโพสต์ทุกๆ 3 เดือน ไม่เพียงแต่อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียจะเกลียดคุณ แต่จะไม่มีใครแบ่งปันเนื้อหานั้นเพราะมันนานมากแล้วตั้งแต่โพสต์ก่อนหน้าของคุณ คุณต้องมีเนื้อหาใหม่เพื่อโพสต์อย่างสม่ำเสมอบนโซเชียลมีเดีย
- ทำให้ง่าย:มีปลั๊กอิน มากมาย เพื่อส่งเสริมการแชร์บทความ คุณจำเป็นต้องเพิ่มมันเข้าไปบนเว็บไซต์ของคุณ หากผู้อ่านไม่สามารถหาวิธีง่ายๆ ในการแชร์โพสต์ของคุณบนโซเชียลมีเดียได้ พวกเขาก็อาจจะปิดหน้านั้นเเล้วจากไปเฉยๆ
5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ SEO
ผมขอสรุปแนวทางปฏิบัติ 5 ประการที่คุณควรคำนึงถึงก่อนเริ่มต้นเส้นทาง SEO ของคุณ:
- SEO ไม่เกี่ยวกับการโกง Google ให้คิดว่าเป็นการโน้มน้าวให้ Google จัดอันดับหน้าเว็บของคุณโดยที่คุณพยายามมอบคุณค่าที่ตอบโจทย์ให้กับผู้คน
- SEO เป็นเกมระยะยาว ผลลัพธ์ SEO มักจะไม่ปรากฏขึ้นทันที โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายเดือนในการติดอันดับ
- งานคุณไม่เคย “จบ” กับ SEO เป็นการแข่งขันที่ต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะอยู่ในอันดับที่ 1 สำหรับคีย์เวิร์ด (Keyword)ทั้งหมดของคุณ แต่คุณก็จำเป็นต้องปรับปรุงเว็บไซต์อยู่เสมอเพื่อครองตำแหน่งให้ได้
- การรู้จักผู้ชมเว็บของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (ลูกค้า ผู้อ่าน สมาชิก) มากเท่าใด การสร้างกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
- SEO ไม่มีกฏตายตัว ไม่มีใครบอกได้ว่าการปรับส่วนใดส่วนหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ หากคุณต้องการให้เว็บติดอันดับ สิ่งที่คุณต้องโฟกัสคือการให้คุณค่าต่อผู้เข้าชมเว็บให้มากที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO
SEO ใช้เวลานานไหม?
SEO ใช้เวลาทำต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้นเพราะถือเป็นการแข่งขันชนิดหนึ่ง หากคุณหยุดทำ ก็สามารถโดนคู่แข่งแซงได้ ในส่วนของเวลาที่จะเห็นผล ส่วนมากจะเห็นผลอันดับเปลี่ยนแปลงหลายเดือนประมาณ 4 – 6 เดือนขึ้นไป
อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำการตลาด SEO?
ไม่มีปัจจัยใดที่สำคัญที่สุดเพราะทุกอย่างล้วนมีความสำคัญ ถ้าผมต้องเลือกสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญ มันก็คงเป็นเป็นการให้ข้อมูลที่มีคุณภาพแก่ผู้คน คุณสามารถทำเทคนิค SEO ทั้งหมดได้ แต่ถ้าเนื้อหาของคุณไม่ดี ก็จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะผู้คนจะไม่สนใจคุณ
คุณจะดันอันดับเร็วขึ้นใน Google ได้อย่างไร?
วิธีที่ดีที่สุดในการดันอันดับคือความพยายามอย่างสม่ำเสมอ หากคุณต้องการที่จะชนะ คุณต้องสร้างลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณอย่างต่อเนื่อง สร้างเนื้อหาใหม่ และอัปเดตเนื้อหาก่อนหน้า ทำเช่นนี้วนไปวันแล้ววันเล่า คุณก็จะให้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ
SEO มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
ต้นทุนของ SEO ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก คุณสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญอย่าง NaJade SEO มาจัดการให้คุณหรือจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้ การทำด้วยตัวเองจะใช้เวลานานกว่ามากและคุณจะต้องคำนึงถึงช่วงการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่คุณสามารถทำได้เกือบฟรีหากคุณทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
SEO ช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร?
การทำ SEO เป็นช่องทางการตลาดที่ได้ทราฟฟิกหรือลูกค้าเข้ามาหาหน้าเว็บไซต์ของคุณ รู้จักแบรนด์ของคุณ อย่างยั่งยืนและตรงเป้าหมาย เนื่องจากเป็นคำที่เขาค้นหาผ่าน Google ธุรกิจของคุณก็จะทำการตลาดออนไลน์และเติบโตได้ดีหากทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง
มีเครื่องมือ SEO หรือ SEO Tools อะไรที่น่าใช้บ้าง?
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้นอย่างมหาศาล ผมขอลิสต์ออกมาคร่าวๆเพียง 3 อย่าง
หากต้องการอ่านเพิ่มเติม ผมได้อธิบายไว้ในบทความ SEO Tools เรียบร้อยแล้ว
เริ่มทำ SEO อย่างไรดี?
หากคุณพอทราบถึงประโยชน์ของ SEO แล้วและคุณอยากเริ่มทำ SEO อันดับแรกเลย คุณสามารถหาความรู้เพิ่มเติมด้วย การเรียนคอร์สสอน SEO ของ NaJade หรือ จ้าง SEO Expert อย่าง NaJade ให้ช่วยจัดการเรื่อง Search Engine Optimization ให้คุณได้เลย!