SEO คืออะไร? สำคัญอย่างไร? Super เทคนิคทำเว็บให้ติดอันดับ อัพเดตล่าสุด 2024

“หากอยากให้คนเข้าเว็บไซต์ คุณควรทำ SEO” คุณคงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง แล้วคุณต้องการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ SEO กันแล้วใช่ไหม? ก่อนที่ผมจะสอนคุณถึงวิธีการจัดอันดับของ Search Engine และวิธีการทำ SEO แบบละเอียด ผมจะมาอธิบายคำจำกัดความของ SEO กันก่อน จากนั้นเราจะเจาะลึกลงไปว่า SEO ทำงานอย่างไร

สารบัญ

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกระบวนการดำเนินการเพื่อช่วยให้เว็บไซต์หรือเนื้อหามีอันดับสูงขึ้นในเครื่องมือค้นหา อย่างเช่น Google หรือ Bing และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าชมแบบ Organic Traffic คุณสามารถรับทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ของคุณแบบ “ฟรี” ไม่ต้องเสียเงินต่อคลิก (SEM) เดือนแล้วเดือนเล่า โดยพื้นฐานแล้ว SEO นั้นเกี่ยวกับการปรับเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการในการค้นหาของผู้เข้าชมโดยการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง มีคุณภาพสูง และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าชม

SEO คือ

SEO สำคัญอย่างไร?

คุณสงสัยไหมว่าทำไมต้องทำ SEO และ SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจของคุณขนาดไหน? ทุกๆวันมีคนใช้ Google ทำการค้นหาข้อมูลและผลิตภัณฑ์หลายพันล้านครั้ง งั้นไม่แปลกใจเลยที่ Search Engine จะเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของการดึงทราฟฟิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณที่ใหญ่ที่สุด และหากคุณอยากที่จะใช้ประโยชน์จากทราฟฟิกการเข้าชมนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องปรากฏในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณ หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่สูง ผู้คนก็จะเข้าชมเพจของคุณมากขึ้น เราสามารถดูได้จากสถิติทั่วโลก เว็บอันดับ 1 มีแนวโน้มที่จะได้รับการคลิกมากกว่าตำแหน่งอันดับ 10 ถึง 10 เท่า

ข้อมูลจาก SEMRUSH

SEO มีบทบาทสำคัญในการปรับตำแหน่งเว็บไซต์ของคุณ การจัดอันดับที่ดีขึ้นหมายถึงการเข้าชมที่มากขึ้น และการเข้าชมที่มากขึ้นหมายถึงลูกค้าใหม่และต่อยอดสร้างความรู้จักแบรนด์ที่มากขึ้นด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่คุณไม่สนใจทำ SEO หมายถึงการเพิกเฉยต่อโอกาสสร้างทราฟฟิกเข้าชมที่สำคัญที่สุดช่องหนึ่ง โดยปล่อยให้พื้นที่นั้นตกเป็นของคู่แข่งของคุณซะงั้น

การที่คุณทำให้อันดับเว็บแข็งแกร่งมีประโยชน์มากมาย นี่เป็นเพียงไม่กี่เหตุผลที่ SEO มีความสำคัญกับธุรกิจของคุณ:

  • ต้นทุนต่ำ
  • มอบ ROI ที่ยอดเยี่ยม
  • ให้ข้อมูลที่สามารถดำเนินการได้
  • เปิดโอกาสในการขายผ่านช่องทางการตลาด
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และแบรนด์ของคุณ
  • ดึงดูดผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องจริง

SEO Vs SEM แตกต่างกันอย่างไร?

หน้าแสดงผลของเครื่องมือค้นหา Google แบ่งการแสดงผลเป็น 2 ประเภทที่แตกต่างกัน: 

  • SEM (เว็บไซต์ที่จ่ายเงินต่อคลิก): Search Engine Marketing คือ คุณต้องจ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ ผ่านการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก Pay Per Click (PPC)
  • SEO (เว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นมาแบบ Organic): คุณต้องได้รับเลือกจาก Google ผ่านการทำ SEO
SEO Vs PPC

ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SEO และการโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่ายหรือ SEM ก็คือ การทำ SEO หมายความว่าคุณไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิกเพื่ออยู่ในอันดับนั้น เเต่เป็นการนำเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณส่วนหนึ่งมาปรับแต่งเพื่อให้เครื่องมือค้นหาอย่างเช่น Google แสดงเนื้อหาดังกล่าวที่ด้านบนสุดของหน้าเมื่อมีผู้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เขาต้องการ

คุณอาจตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่จ่ายเงินไปเลยเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในส่วนโฆษณา

คำตอบนั้นง่ายมาก ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่สนใจโฆษณาและคลิกที่ผลลัพธ์ทั่วไปแทน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ถูก Google เลือกมาเเล้วว่าตอบสนองความต้องการการค้นหาของผู้คนอย่างแท้จริง (Search Intent)

ใช่ครับ! SEO ต้องใช้เวลา ใช้ความพยายามมากกว่า แต่เมื่อเว็บไซต์ของคุณสามารถขึ้นอันดับตามคีย์เวิร์ดเป้าหมาย คุณจะสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นและสร้างทราฟฟิกแบบ Passive ที่ไม่หายไปเมื่อคุณหยุดจ่ายเงิน

องค์ประกอบหลักของ SEO: On-Page SEO , Off-Page SEO , Technical SEO

การทำ SEO แบ่งองค์ประกอบหลักออกเป็นสามหมวดหมู่หลักๆ “On-Page” “Off-Page” และ “Technical” เเละสามารถแบ่งย่อยออกมาคร่าวๆได้ตามนี้:

  • การค้นหาคีย์เวิร์ด
  • การสร้างและปรับแต่งเนื้อหา
  • การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค
  • การสร้างลิงค์

หากเทียบกัน On-Page และ Off-Page มีความสำคัญเท่าๆกัน

On-Page SEO นั้นเกี่ยวกับการสร้างเนื้อหาเพื่อปรับปรุงอันดับของคุณ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการรวบรวมคีย์เวิร์ดไว้ในเพจและเนื้อหาของคุณ การเขียนเนื้อหาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมตาแท็กและชื่อเรื่องของคุณเต็มไปด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword)และเขียนดี และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย

Off-page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นจากเว็บไซต์ของคุณเอง เช่น การได้รับแบ็คลิงค์ (Backlinks) ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่นและการสร้างเนื้อหาที่ผู้คนต้องการแบ่งปันให้กัน เป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จของ SEO 

ในส่วนของ Technical SEO จะเกี่ยวข้องกับการปรับสปีดความเร็วในการโหลดเว็บ โครงสร้างของเว็บ และ การจัดการแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น

องค์ประกอบหลักของ SEO

กลยุทธ์ SEO: สายเทา Vs สายขาว (Black Hat SEO Vs White Hat SEO)

เมื่อพูดถึง กลยุทธ์ SEO การโกง Google เพื่อดันอันดับเว็บไซต์อย่างรวดเร็วมักถูกเรียกว่า “Black Hat SEO” หรือ SEO สายเทา คนที่ทำ SEO แบบนี้มักจะใช้กลวิธีลับๆ ล่อๆ เช่น การใส่คีย์เวิร์ดเยอะๆและการปั๊มแบ็คลิงก์เพื่อจัดอันดับอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องบอกว่าอาจได้ผลในระยะสั้นและทำให้คุณได้รับปริมาณการเข้าชมไซต์ของคุณ แต่หลังจากนั้นไม่นาน Google จะทำการลงโทษและอาจแบนเว็บไซต์ของคุณขึ้นบัญชีด ทำให้ไม่สามารถกลับมาติดอันดับได้อีกเลย Google Search Console

ในทางกลับกันการทำ SEO สายขาว เป็นวิธีสร้างการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจของคุณที่ยั่งยืน หากคุณทำ SEO ด้วยวิธีนี้ คุณจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของทราฟฟิกคนจริงๆ คุณจะพยายามให้เนื้อหาที่ดีที่สุดแก่พวกเขาและทำให้เข้าถึงได้ง่ายโดยเล่นตามกฎของเครื่องมือค้นหา Google

2 1

SEO สายเทา แบ่งออกเป็นปัจจัยต่างๆในหัวข้อเหล่านี้:

  • เนื้อหาที่ซ้ำกัน (Duplicated Content): เมื่อคุณพยายามทำอันดับคีย์เวิร์ดบางคำ คุณอาจทำเนื้อหาซ้ำๆในเว็บไซต์ของคุณเพื่อพยายามสแปมคีย์เวิร์ดนั้นในบทความซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมบอกเลยว่า Google จะลงโทษเว็บไซต์ที่ทำเช่นนี้แน่นอน!
  • การใส่ข้อความและคีย์เวิร์ดแบบล่องหน (ซ่อนคีย์เวิร์ด): หลายปีก่อน กลยุทธ์ SEO สายเทา ที่นิยมทำกันคือการรวมคีย์เวิร์ดจำนวนมากไว้ที่ด้านล่างของบทความของคุณ แต่ทำให้เป็นสีเดียวกับพื้นหลัง ปัจจุบันกลยุทธ์นี้จะทำให้เว็บของคุณขึ้นบัญชีดำของ Google อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการใส่คีย์เวิร์ดที่ไม่ได้อยู่ในนั้น
  • การเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect): เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนเส้นทาง Redirect นั้น จริงๆมีวิธีที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง วิธีที่ผิดคือการซื้อโดเมนที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจำนวนมากและ Redirect เว็บไซต์ทั้งหมดนั้นไปยังเว็บของคุณเว็บไซต์เดียว
  • การสร้างแบ็คลิงค์สแปม: การซื้อแพ็คเกจแบ็คลิงค์ที่สัญญาว่าคุณจะได้รับลิงก์ 50,000 ลิงก์ใน 24 ชั่วโมงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการสร้างลิงก์ คุณต้องได้รับลิงก์จากเนื้อหาและไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเท้นต์บนเว็บไซต์ของคุณถึงจะถูก

เนื่องจาก Google ลงโทษกลยุทธ์ SEO สายเทาเหล่านี้ ผมจะพูดถึง SEO สายขาวเท่านั้น และทางผมก็ รับทำ SEO สายขาว ในโลกของ SEO นั้น สิ่งที่คุณทำอาจไม่สำคัญมากนัก เพราะไม่มีอะไรถูกผิดแบบ 100% แต่วิธีการที่คุณทำ จำเป็นต้องถูกต้องตามกฏ หากคุณซื้อโพสต์บนเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอนเท้นของคุณ และสแปมแบ็คลิงก์จำนวนมาก คุณจะโดนลงโทษ ในทางตรงกันข้ามหากคุณกำลังสร้างโพสต์ที่ไม่ซ้ำใครซึ่งให้คุณค่าแก่ผู้อ่านบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของคุณก็ไม่มีปัญหา และแบ็คลิงก์จากเว็บอื่นจะหลั่งไหลไปยังเว็บไซต์ของคุณโดยปริยาย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO สายเทาได้จากบทความด้านล่างนี้ครับ:

SEO สายเทา

Search Engine หรือเครื่องมือค้นหา Google ทำงานอย่างไร?

ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า รายละเอียดการทำงานของ Search Engine มีอะไรบ้าง

เป้าหมายสูงสุดของ Search Engine คือการทำให้ผู้ค้นหาพอใจกับผลลัพธ์ที่พบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Google จำเป็นต้องค้นหาหน้าที่ดีที่สุดและแสดงผลเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์นั้นเป็นอันดับต้น ๆ

หมายเหตุ: Google ไม่ใช่เครื่องมือค้นหาเดียวในโลกนี้ แต่เป็น Search Engine ที่นิยมมากที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอ้างถึง Google ทุกครั้งที่เราพูดถึงเครื่องมือค้นหา

Google ใช้ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อค้นหาและจัดอันดับ Website Ranking:

  1. รวบรวมข้อมูล: Google ใช้ “บอท” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลเว็บและค้นหาหน้าใหม่ เพื่อให้ Google ค้นหาหน้า หน้านั้นควรมีลิงก์อย่างน้อยหนึ่งลิงก์ที่ชี้ไปที่หน้านั้นๆบนเว็บไซต์เรา (Backlink
  2. จัดทำดัชนี: ต่อไป Google จะวิเคราะห์แต่ละหน้าและพยายามทำความเข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร จากนั้นจึงเก็บข้อมูลนี้ไว้ในดัชนี (Index) ของ Google ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่
  3. แสดงผลลัพธ์:เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อความค้นหาจากคีย์เวิร์ด Google จะพิจารณาว่าหน้าใดดีที่สุด ทั้งในแง่ของคุณภาพและความเกี่ยวข้อง และจัดอันดับหน้าเหล่านั้นใน Search Engine Results Page (SERP)

งานของคุณในฐานะเจ้าของเว็บไซต์คือการช่วยเครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าทั้งหมดบนไซต์ของคุณที่คุณต้องการให้พวกเขาทำ (และหน้าที่คุณไม่ต้องการให้ทำ) คุณสามารถช่วยให้การรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของหน้าเว็บของคุณดำเนินการได้ไหลลื่นที่สุดด้วยวิธีการที่เรียกว่า Technical SEO

SEO ทำงานอย่างไร?

Google ใช้กระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนหรือที่เรียกว่า “อัลกอริทึม” เพื่อจัดอันดับหน้าเว็บ อัลกอริทึมเหล่านี้คำนึงถึงปัจจัยการจัดอันดับจำนวนมากเพื่อตัดสินใจว่าหน้าใดควรอยู่ในอันดับใด

คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอัลกอริทึมการค้นหาทำงานอย่างไร (ที่จริงไม่มีใครทำได้แน่นอน 100%) ไม่มีตัวชี้วัดตายตัวว่าถูกหรือผิด

อย่างไรก็ตาม การทราบปัจจัยพื้นฐานสามารถช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำงานของ SEO ได้ดีขึ้น และต้องใช้อะไรบ้างในการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บของคุณให้ติดอันดับใน Google

คีย์เวิร์ด (Keywords)

การเรียนรู้พื้นฐาน SEO คือการทำความเข้าใจวิธีการทำวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างถูกวิธี มาดูกันว่าทำอย่างไรครับ

ค้นหาคีย์เวิร์ดให้กับเว็บไซต์ของคุณ

เราเรียกคำพวกนี้ว่า Focus Keyword หรือ Money Keyword ซึ่งเป็นคำที่ลูกค้าค้นหาเมื่อพวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่คุณขายหรือต้องการนำเสนอ

ตัวอย่างเช่น สำหรับร้านขายเครื่องสำอางอาจจะมีโฟกัสคีย์เวิร์ดพวกนี้:

  • เครื่องสำอาง ราคาถูก
  • อายไลย์เนอร์
  • ลิปสติก
  • ครีมทาหน้า

วิธีค้นหาโฟกัสคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ของคุณมีดังนี้:

ให้จดคำศัพท์ต่างๆ ที่คุณคาดว่าลูกค้าจะใช้เมื่อค้นหาธุรกิจที่คล้ายกับของคุณบน Google 

ไม่มีเงื่อนไขที่ถูกหรือผิดที่นี่ นี่เป็นวิธีการระดมไอเดียมากกว่า เป้าหมายคือการแสดงรายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด 

เมื่อคุณมีรายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่เป็นไปได้แล้ว ให้ไปที่เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่คุณเลือก 

สำหรับตัวอย่างนี้ เราจะใช้ Ubersuggest เป็นหลัก

ป้อนคำค้นหาจากรายการของคุณและเลือก “Search”

1 3

เครื่องมือจะแจ้งรายละเอียดสำหรับ Keyword แต่ละคำ รวมถึงปริมาณการค้นหารายเดือนและความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword) (SEO Difficulty) 

นี่คือสถิติสำคัญสองอย่างที่คุณจะใช้ในการเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดจากรายการของคุณ 

ยิ่งปริมาณการค้นหาสูง คุณก็มีโอกาสได้รับทราฟฟิกมากขึ้น Canonical Tag

ในทางกลับกัน ปริมาณการค้นหาที่สูงขึ้นยังหมายถึงความยากของคีย์เวิร์ดที่มากขึ้น (SEO Difficulty)

สำหรับความยากในการติดอันดับหน้าแรกของ Google สำหรับคำนั้นๆ คงไม่จำเป็นต้องบอกว่ายิ่งต่ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ค้นหา Long Tail Keyword

รายการคีย์เวิร์ด (Keyword)ที่คุณเพิ่งคิดขึ้นมาอาจใช้งานได้ แต่การที่เราเพิ่มคำศัพท์ Long Tail Keyword เหล่านั้นก็จะช่วยให้มีโอกาสได้รับทราฟฟิกอย่างคุ้มค่าเช่นกัน

Long Tail Keyword คือข้อความค้นหาที่ยาวขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีปริมาณการค้นหาที่ต่ำกว่าแต่มีความตั้งใจในระดับที่สูงกว่า 

ซึ่งหมายความว่าคำพวกนี้สามารถแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Focus Keyword นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่คุณจะพบเจอการแข่งขันหน้าแรกในระดับที่ต่ำกว่า

3 4

มีสองปัจจัยหลักที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ด (Keyword) ได้แก่ ปริมาณการค้นหารายเดือนและการแข่งขัน

การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นศิลปะมากกว่า โดยทั่วไป คุณต้องการกำหนดเป้าหมายคำที่มีการแข่งขันต่ำในตอนแรก (แม้ว่าจะมีปริมาณการค้นหาไม่มากก็ตาม) 

คุณสามารถปรับจำนวนการแข่งขันคีย์เวิร์ดที่แข่งขันได้มากขึ้นเมื่อ SEO ของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้น 

keyword research 5

เนื้อหา

เนื่องจาก Google มีเป้าหมายหลักให้คนผู้ใช้พบผลลัพธ์ที่ตอบสนองความต้องการของตนได้ดีที่สุด เนื้อหาของเว็บไซต์คุณจึงสำคัญอย่างยิ่งยวดในการที่จะช่วยให้อันดับคุณดีได้

เมื่อคุณเซิชว่า “รองเท้าผ้าใบ” Google จะเเสดงผลเป็นรูปและเว็บ E-commerce Sitemap ซึ่งมีรองเท้าผ้าใบให้เลือกดูเลือกซื้อหลากหลาย ก่อนที่จะเเสดงผลเป็นเว็บไซต์บทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ รองเท้าผ้าใบ เป็นต้น

Screenshot 2023 01 21 164735 6

ซึ่งหมายความว่างานอันดับหนึ่งของคุณที่จะทำได้ดีกับ SEO คือการผลิตเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม คุณเป็นคนขี้เกียจใช่มั้ย? อย่าเพิ่งยอมแพ้ครับ ผมจะเป็นคนไกด์คุณเอง! SEO ไม่ต่างจากทักษะอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาย่อมเกิดจากความพยายามอย่างมาก 

องค์ประกอบของเนื้อหา

ในมุมของ SEO นั้น มีองค์ประกอบนับล้านที่ใช้ในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง นี่คือบางส่วนที่สำคัญที่สุดที่ผมเลือกมาให้อ่านกัน:

คุณภาพ

การโพสต์เนื้อหาที่มีคีย์เวิร์ดไม่เพียงพออีกต่อไป หากคุณกำลังสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพซึ่งช่วยแก้ปัญหาของใครบางคนได้ แสดงว่าเว็บของคุณโดดเด่น และทำให้ง่ายต่อการจัดอันดับ

ทุกวันนี้ หลายๆเว็บมีเนื้อหาคุณภาพดีขึ้นมาก และธุรกิจออนไลน์จำนวนมากมีบล็อกที่ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไซต์ของตนและอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นใน Google

การคิดเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข่าวดีก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องสร้างเนื้อหาตั้งแต่เริ่มต้นเสมอไป คุณสามารถพึ่งพาสิ่งที่คนอื่นสร้างขึ้นได้ แต่เพียงเพิ่มมูลค่ามากขึ้นและทำให้เนื้อหาของคุณมีรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น

ท้ายสุดเเล้ว เนื้อหาของคุณต้องแก้ปัญหาหรือเสนอวิธีแก้ไขอะไรก็ตามที่นำผู้อ่านมาที่โพสต์ของคุณ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะคลิกออกจากหน้าของคุณอย่างรวดเร็ว เป็นการบอก Google ว่าเนื้อหาของคุณไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ใคร ทำให้อันดับเว็บของคุณก็ตกลงไปด้วยครับ

Search Intent หรือ ความตอบโจทย์การค้นหา

Google ให้ความสำคัญกับ Search Intent หรือ ความตอบโจทย์เป็นอย่างมาก ต้องการทำความเข้าใจว่าผู้ค้นหากำลังมองหาอะไรเมื่อพิมพ์บางอย่างลงในแถบค้นหา

  • พวกเขาต้องการรู้อะไรไหม?
  • พวกเขากำลังพยายามซื้ออะไรอยู่หรือเปล่า?
  • พวกเขากำลังอยากดูวิดิโอหรือไม่?

ในฐานะผู้สร้างเนื้อหา คุณต้องเข้าใจสิ่งนี้เช่นกัน คุณไม่สามารถสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ “เครื่องสำอาง” และกำหนดเป้าหมาย “วิธีใช้เครื่องสำอาง” เป็นคีย์เวิร์ดหลักของคุณได้ มันไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะปกติแล้วผู้คนจะไม่ได้ต้องการหาวิธีการใช้ แต่เป็นการหาเลือกซื้อสินค้าเครื่องสำอางต่างหาก หากคุณไม่ได้ให้คำตอบที่ตอบโจทย์สำหรับคำถาม และ Google จะรู้

ความสดใหม่

เกณฑ์มาตรฐานที่แสดงให้เห็นว่าการโพสต์บ่อยๆ กับความสดใหม่ที่อัพเดตเรื่อยๆของเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ จะช่วยในการจัดอันดับของ Google มาก อย่างไรก็ตาม การโพสต์เนื้อหาใหม่เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณความสดใหม่ของ Google ยังมีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้กับเนื้อหาที่คุณเผยแพร่แล้วเพื่อทำให้เนื้อหาเป็นปัจจุบันมากขึ้น เช่น แก้ไขโพสเดิม หรือ เพิ่มรูปภาพและวิดิโอที่สอดคล้องเข้าไป

การตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหาของคุณเพื่อความถูกต้อง แก้ไขลิงก์ที่เสีย และรีเฟรชข้อมูลเก่าด้วยข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ล้วนเป็นวิธีที่จะแสดงให้ Google เห็นว่าเนื้อหาของคุณสดใหม่และยังคงสมควรได้รับตำแหน่งในหน้าแรกในการทำ Local SEO

สัญญาณ E-A-T

Google ให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ ความมีอำนาจ และความน่าเชื่อถือ (EAT) เป็นอย่างมาก คุณควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่คุณเขียน และแสดงให้เห็นทั้งใน On-Page และ Off-Page

EAT ประกอบไปด้วย:

  • Expertise
  • Authority
  • Trustworthiness
Black and White Minimalist Photography Tips for Beginners Banner 7
4 เคล็ดลับในการปรับปรุงคะแนน EAT ของคุณ 
  1. ทำวิจัย: สิ่งนี้อาจดูเหมือนชัดเจน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริงคือการแบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้อง อาจจะนำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือแขกรับเชิญเข้ามาเมื่อคุณทำได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณกำลังแบ่งปันนั้นถูกต้อง
  2. ละเอียดถี่ถ้วน : หลังจากที่คุณแน่ใจว่าข้อมูลของคุณถูกต้องแล้ว คุณจะต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นครอบคลุม การตอบคำถามด้วยโพสต์สั้นๆ หรือง่ายๆ อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นการเพิกเฉย ในการที่จะถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เนื้อหาของคุณต้องทำให้ผู้อ่านรู้สึกพึงพอใจ 
  3. พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้: เมื่อคุณพัฒนาเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ให้ยึดติดกับสิ่งที่คุณเป็นในฐานะแบรนด์ หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ การยึดติดกับหัวข้อความเชี่ยวชาญของคุณจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับคุณในฐานะแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น 
  4. ทำเนื้อหาให้ตรงความต้องการของผู้ชมของคุณ: คุณจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจในใจของผู้อ่านได้ก็ต่อเมื่อคุณพูดเกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้อ่านกำลังจะอ่านจริงๆ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่ามันเกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับอะไร? แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? มีความแตกต่างระหว่างความสามารถในการพูดอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่งๆ เพราะคุณรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีกับความสามารถในการสอนในรูปแบบที่รู้สึกว่าเข้าถึงได้และตรงประเด็น ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเห็นว่าคุณเป็นผู้มีอำนาจและเป็นคนที่พวกเขาสามารถไว้วางใจได้ 

3 เคล็ดลับในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

นี่คือเคล็ดลับที่ดีที่สุดของฉันในการสร้างเนื้อหาที่ดีที่สุดที่ผู้อ่านรักและเคารพใน Google:

  1. เข้าใจเจตนาของผู้ใช้:คุณต้องรู้ว่าผู้อ่านต้องการบรรลุอะไรเมื่อพวกเขามาถึงหน้าของคุณ เพื่อพยายามทำ Featured Snippet
  2. แบ่งข้อความเป็นส่วนๆ: ผู้คนสมัยนี้มีสมาธิสั้น และการเขียนข้อความเป็นหลายสิบหน้าไม่ได้ผลอีกต่อไป คุณต้องแยกมันออกด้วย Heading และรูปภาพมากมาย
  3. นำไปปฏิบัติได้: ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการอ่านเนื้อหาเสร็จแล้ว นำไปใช้งานไม่ได้ เนื้อหาของคุณควรละเอียดถี่ถ้วน แต่จำเป็นต้องตอบคำถามว่า ต่อจากนี้ ผู้อ่านจะเข้าใจและนำทุกสิ่งที่ต้องการไปใช้งานต่อเมื่อบทความของคุณจบหรือไม่?

เว็บไซต์ใช้งานได้อย่างมิตรและลื่นไหล

Google ชื่นชอบเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ใช้งานง่าย อ่านสะบาย ไม่รกตา

Technical SEO มีบทบาทสำคัญในที่นี่อีกครั้ง นอกจากการตรวจสอบความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของเว็บไซต์ของคุณแล้ว คุณยังต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณตรงตามมาตรฐานการใช้งานอีกด้วย ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น:

  • ความปลอดภัยของเว็บไซต์ : เว็บไซต์ของคุณควรเป็นไปตามเกณฑ์ความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น มีใบรับรอง SSL
  • ความเร็วของหน้า (Page Speed): Google จัดอันดับหน้าที่โหลดเร็วกว่าในการเเสดงผลการค้นหาเนื่องจากให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีกว่า
  • ความเป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่  (Mobile Friendliness): Google ประเมินเนื้อหาของคุณตามประสิทธิภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ Mobile SEO ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้มือถือสามารถเข้าถึงเนื้อหาของคุณได้อย่างง่ายดาย 
  • ใช้งานง่าย:คุณควรมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ง่ายต่อการติดตามซึ่งช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถค้นหาทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว และเปิดหน้าเว็บของคุณโดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ

ลิงค์ หรือ Backlinks

ผมยังคงเชื่อว่าลิงก์หรือ Backlinks เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดสำหรับ Google

ปัญหาหนึ่งที่คนทำ SEO จำนวนมากพบเจอคือพวกเขาไม่เข้าใจวิธีการทำอย่างถูกต้อง หากคุณใช้กลยุทธ์ที่ไม่ถูกต้อง คุณกำลังล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หากคุณเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ระยะยาวและสร้างลิงก์อย่างถูกวิธี อาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อย แต่คุณจะขอบคุณตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอนครับ

องค์ประกอบของการสร้างลิงค์

โดยพื้นฐานแล้วแบ็คลิงค์ทำหน้าที่เป็นคะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ให้กับเครื่องมือค้นหา 

โดยทั่วไป ยิ่งเว็บของคุณได้รับลิงก์คุณภาพสูงมากเท่าไหร่ เว็บของคุณก็จะมีอำนาจในสายตาของ Google มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสามารถนำไปสู่อันดับที่สูงขึ้นได้

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการสร้างลิงก์กลับมายังไซต์ของคุณจึงเป็นส่วนสำคัญของ SEO

มีกลยุทธ์การสร้างลิงค์มากมาย ตัวอย่างเช่น:

  • การสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ :การสร้างเนื้อหาที่ให้คุณค่าสูงสุดและดึงดูดลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ (เช่น การวิจัยต้นฉบับ รูปภาพต้นฉบับ เครื่องมือฟรี)
  • การทำ Guest Post :การเขียนโพสต์สำหรับเว็บไซต์อื่นเพื่อเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ
  • การสร้างลิงค์เสีย:การค้นหาลิงก์ที่ใช้ไม่ได้แล้วในเว็บไซต์อื่น และแนะนำลิงก์ไปยังหน้าของคุณแทน

ต่อไปนี้คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ควรพิจารณาเมื่อสร้างลิงก์สำหรับไซต์ของคุณ:

2 1 8
ลิงค์คุณภาพ

แม้ว่าลิงก์จะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เมื่อดูที่ลิงก์คุณภาพของลิงก์คือทุกอย่าง ลิงค์คุณภาพสำคัญมากกว่าจำนวนลิงค์ที่คุณมี การสร้างแบ็คลิงค์ที่มีคุณภาพนั้นเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งที่มาที่ถูกต้องและเสนอคุณค่าเพื่อแลกกับลิงก์

คนส่วนใหญ่ดูเฉพาะจำนวนลิงก์ทั้งหมด แต่นั่นเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยเหตุผลบางประการ:

  • เครื่องมือค้นหาอาจเพิกเฉยต่อลิงก์ส่วนใหญ่ หากลิงก์เหล่านั้นมีคุณภาพต่ำหรือเป็นสแปม
  • ลิงก์จากเว็บไซต์ใหม่มีค่ามากกว่าลิงก์ซ้ำจากเว็บไซต์เดิม
  • ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมีค่ามากกว่าลิงก์จำนวนมากจากเว็บไซต์ของคุณเอง (จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง)

คำถามคือคุณจะระบุลิงก์ที่ไม่ดีจากลิงก์ที่ดีได้อย่างไร

เป้าหมายของการสร้างลิงก์คือการเขียนGuest Postบนเว็บไซต์ที่มีผู้สนใจในความเชี่ยวชาญของคุณ

เว็บไซต์ที่คุณเลือกเขียนGuest Postควรมีปริมาณการเข้าชมเป็นของตัวเอง เมื่อเว็บไซต์มีปริมาณการเข้าชมหรือทราฟฟิก ลิงก์จะหลั่งไหลไปในทิศทางของคุณมากขึ้นเนื่องจากผู้คนเห็นสิ่งที่คุณกำลังเสนอให้

Anchor Text

Anchor Text คือข้อความที่ใช้กำกับลิงก์ เป้าหมายคือเพื่อให้ข้อความดูเป็นธรรมชาติที่สุดในบทความ คุณต้องการมี anchor text หลากหลายประเภท

สิ่งหนึ่งที่คุณไม่ต้องการทำคือมีข้อความจำนวนมากที่ระบุว่า “คลิกที่นี่” ชี้ไปที่เว็บไซต์ของคุณ 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเขียนบทความเกี่ยวกับบ้านพักคนชราและกำลังพยายามหาลิงก์ไปยังบทความนั้น คุณอาจต้องการใช้ Anchor Text ที่มีลิงก์เพื่อบอกว่า “บ้านพักคนชราในกทม.” การทำเช่นนี้จะช่วยบอก Google ว่าคอนเท้นต์ของคุณเกี่ยวกับอะไรเมื่อมีคนคลิกเข้ามา

จำนวนลิงค์

ประการสุดท้าย จำนวนลิงก์ทั้งหมดที่คุณมีก็มีความสำคัญเช่นกัน และคุณต้องสร้างแบ็คลิงก์ (Backlinks)คุณภาพสูงเพิ่มขึ้นตามขนาดเมื่อเวลาผ่านไป

เว็บไซต์ที่มีลิงก์คุณภาพสูงมักจะได้เปรียบกว่า อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับหน้าที่คุณได้รับลิงก์ไปอีกด้วย ลิงก์ไปยังหน้าแรกของคุณนั้นดี แต่ลิงก์ทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่เชื่อมโยงไปยังหน้าแรก เว้นแต่ว่าลิงก์เหล่านั้นจะกล่าวถึงชื่อแบรนด์ของคุณโดยเฉพาะ

สิ่งที่คุณมักพบคือผู้คนเชื่อมโยงไปยังเพจหรือโพสต์บนไซต์ของคุณ ถ้าเป็นไปได้ คุณต้องการให้แน่ใจว่าแหล่งที่มา Google Sitelinks ที่ถูกต้องเชื่อมโยงไปยังหน้าที่ถูกต้อง 

อีกประการนึงคือคุณต้องพิจารณาว่าลิงก์เหล่านั้นมาจากไหนและอย่างไร แหล่งที่มาที่มีคุณภาพของลิงก์ที่คุณได้รับก็มีความสำคัญเช่นกัน สถานที่ที่พวกเขาลิงก์ไปก็เช่นกัน

3 เคล็ดลับในการปรับปรุงโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณ

ผมจะบอกเทคนิคขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อปรับปรุงโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณ และทำให้แน่ใจว่าคุณได้รับลิงก์มากที่สุดจากความพยายามของคุณ

  1. อย่าใช้ทางลัด:ไม่มีทางลัดในการสร้างลิงค์ คุณต้องใช้เวลาและสร้างมันอย่างถูกวิธี สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสนทนากับผู้คน การเสนอขายด้วยตัวคุณเอง และบอกพวกเขาว่าคุณสามารถให้คุณค่าแก่เว็บไซต์ของพวกเขาได้อย่างไร พยายามเสนอขายผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
  2. ลบลิงก์ที่เป็นอันตราย: Google มีสิ่งที่เรียกว่า Disavow Tool ที่จะให้คุณลบลิงก์ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการจัดอันดับของคุณ คุณจะต้องใช้เครื่องมือนี้อย่างระมัดระวังเนื่องจากการปฏิเสธลิงก์จำนวนมากอาจเป็นอันตรายต่อไซต์ของคุณ การลบลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือที่อาจโผล่เข้ามาในโปรไฟล์ของคุณโดยไม่ตั้งใจสามารถช่วยล้างโปรไฟล์แบ็คลิงก์ของคุณได้
  3. อย่าลืมการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของคุณเอง (Internal Links): การเชื่อมโยงภายในเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เราไม่ควรกังวลเฉพาะลิงก์ภายนอกเท่านั้น แน่นอนว่าลิงก์ภายนอกมีความสำคัญ แต่การเชื่อมโยงหน้าต่างๆของเว็บที่มีหัวข้อเดียวกันจะช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลไซต์ของคุณได้ Google ให้ความสำคัญกับความตั้งใจในการค้นหาและความครอบคลุมโดยรวมของเนื้อหา หากคุณสามารถแก้ปัญหาของทุกคนได้ในที่เดียวด้วยกลุ่มบทความที่ครอบคลุมหัวข้อหนึ่งๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ Google จะให้รางวัลแก่คุณ

Social Signal สัญญาณจากโซเชี่ยลมีเดีย

สุดท้ายนี้ผมจะพามาดูปัจจัยทาง Social ของการทำ Off-Page SEO กัน นอกจากสัญญาณโซเชียลโดยตรงจากผู้ค้นหาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ส่งผลที่ดีบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้คุณมีอันดับดีขึ้น

องค์ประกอบของโซเชียลสำหรับ SEO

โซเชียลมีเดียมีสองปัจจัยหลักที่มีผลอย่างมาก:

คุณภาพของการแชร์

การตลาด SEO และการตลาดโซเชียลมีเดียเป็นของคู่กัน เพราะเป้าหมายคือการบอก Google ว่าคุณเก่งและดังแค่ไหน หากผู้คนที่นั่นแชร์เนื้อหาของคุณและกระจายการเข้าถึงให้มากขึ้น นั่นก็เป็นการบอกอะไรกับ Google แล้วครับ มันบอกพวกเขาว่าคนชอบสิ่งที่คุณนำเสนอและเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ดีแก่ผู้คน

จำนวนของการแชร์

การได้รับความนิยมแบบไวรัลเป็นความฝันของนักการตลาดทุกคน ในการรับส่วนแบ่งในเกม SEO คุณเพียงแค่ต้องสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมที่ผู้คนชอบอ่านบนไซต์ที่ผู้คนกำลังอ่านอยู่ นั่นเป็นอีกครั้งว่าทำไมผมถึงบอกว่าคอนเท้นต์บนเว็บไซต์ที่มีผู้อ่านจริงมีความสำคัญเพียงใด หากคุณสร้างคอรเท้นต์ที่ไม่มีคนอ่าน คุณคิดว่าโพสต์นั้นจะได้รับการแชร์ไหมครับ?

Black and White Minimalist Photography Tips for Beginners Banner 1 9

3 เคล็ดลับในการเพิ่มการแชร์คอนเท้นต์ของคุณ

ผมจะอธิบายเคล็ดลับ 3 ข้อในการเพิ่มการแชร์บนโซเชียลมีเดีย:

  1. สร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม:การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพดีที่สุด แล้ว Google จะให้รางวัลแก่คุณ
  2. ความสม่ำเสมอ: ความทำเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งใน SEO และโซเชียลมีเดีย หากคุณโพสต์ทุกๆ 3 เดือน ไม่เพียงแต่อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียจะเกลียดคุณ แต่จะไม่มีใครแบ่งปันเนื้อหานั้นเพราะมันนานมากแล้วตั้งแต่โพสต์ก่อนหน้าของคุณ คุณต้องมีเนื้อหาใหม่เพื่อโพสต์อย่างสม่ำเสมอบนโซเชียลมีเดีย 
  3. ทำให้ง่าย:มีปลั๊กอิน มากมาย เพื่อส่งเสริมการแชร์บทความ คุณจำเป็นต้องเพิ่มมันเข้าไปบนเว็บไซต์ของคุณ หากผู้อ่านไม่สามารถหาวิธีง่ายๆ ในการแชร์โพสต์ของคุณบนโซเชียลมีเดียได้ พวกเขาก็อาจจะปิดหน้านั้นเเล้วจากไปเฉยๆ

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ SEO

ผมขอสรุปแนวทางปฏิบัติ 5 ประการที่คุณควรคำนึงถึงก่อนเริ่มต้นเส้นทาง SEO ของคุณ: 

  1. SEO ไม่เกี่ยวกับการโกง Google ให้คิดว่าเป็นการโน้มน้าวให้ Google จัดอันดับหน้าเว็บของคุณโดยที่คุณพยายามมอบคุณค่าที่ตอบโจทย์ให้กับผู้คน
  2. SEO เป็นเกมระยะยาว ผลลัพธ์ SEO มักจะไม่ปรากฏขึ้นทันที โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายเดือนในการติดอันดับ
  3. งานคุณไม่เคย “จบ” กับ SEO เป็นการแข่งขันที่ต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะอยู่ในอันดับที่ 1 สำหรับคีย์เวิร์ด (Keyword)ทั้งหมดของคุณ แต่คุณก็จำเป็นต้องปรับปรุงเว็บไซต์อยู่เสมอเพื่อครองตำแหน่งให้ได้ 
  4. การรู้จักผู้ชมเว็บของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (ลูกค้า ผู้อ่าน สมาชิก) มากเท่าใด การสร้างกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
  5. SEO ไม่มีกฏตายตัว ไม่มีใครบอกได้ว่าการปรับส่วนใดส่วนหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ หากคุณต้องการให้เว็บติดอันดับ สิ่งที่คุณต้องโฟกัสคือการให้คุณค่าต่อผู้เข้าชมเว็บให้มากที่สุด
cropped Transparent black rectangle 2

อ่านเพิ่มเติม

รับทำ SEO โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO

SEO ใช้เวลานานไหม?

SEO ใช้เวลาทำต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้นเพราะถือเป็นการแข่งขันชนิดหนึ่ง หากคุณหยุดทำ ก็สามารถโดนคู่แข่งแซงได้ ในส่วนของเวลาที่จะเห็นผล ส่วนมากจะเห็นผลอันดับเปลี่ยนแปลงหลายเดือนประมาณ 4 – 6 เดือนขึ้นไป

อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำการตลาด SEO?

ไม่มีปัจจัยใดที่สำคัญที่สุดเพราะทุกอย่างล้วนมีความสำคัญ ถ้าผมต้องเลือกสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญ มันก็คงเป็นเป็นการให้ข้อมูลที่มีคุณภาพแก่ผู้คน คุณสามารถทำเทคนิค SEO ทั้งหมดได้ แต่ถ้าเนื้อหาของคุณไม่ดี ก็จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะผู้คนจะไม่สนใจคุณ

คุณจะดันอันดับเร็วขึ้นใน Google ได้อย่างไร?

วิธีที่ดีที่สุดในการดันอันดับคือความพยายามอย่างสม่ำเสมอ หากคุณต้องการที่จะชนะ คุณต้องสร้างลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณอย่างต่อเนื่อง สร้างเนื้อหาใหม่ และอัปเดตเนื้อหาก่อนหน้า ทำเช่นนี้วนไปวันแล้ววันเล่า คุณก็จะให้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

SEO มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?

ต้นทุนของ SEO ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก คุณสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญอย่าง NaJade SEO มาจัดการให้คุณหรือจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้ การทำด้วยตัวเองจะใช้เวลานานกว่ามากและคุณจะต้องคำนึงถึงช่วงการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่คุณสามารถทำได้เกือบฟรีหากคุณทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

SEO ช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร?

การทำ SEO เป็นช่องทางการตลาดที่ได้ทราฟฟิกหรือลูกค้าเข้ามาหาหน้าเว็บไซต์ของคุณ รู้จักแบรนด์ของคุณ อย่างยั่งยืนและตรงเป้าหมาย เนื่องจากเป็นคำที่เขาค้นหาผ่าน Google ธุรกิจของคุณก็จะทำการตลาดออนไลน์และเติบโตได้ดีหากทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง

มีเครื่องมือ SEO หรือ SEO Tools อะไรที่น่าใช้บ้าง?

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้นอย่างมหาศาล ผมขอลิสต์ออกมาคร่าวๆเพียง 3 อย่าง

  1. Ubersuggest
  2. Ahrefs
  3. SEMRush

หากต้องการอ่านเพิ่มเติม ผมได้อธิบายไว้ในบทความ SEO Tools เรียบร้อยแล้ว

เริ่มทำ SEO อย่างไรดี?

หากคุณพอทราบถึงประโยชน์ของ SEO แล้วและคุณอยากเริ่มทำ SEO อันดับแรกเลย คุณสามารถหาความรู้เพิ่มเติมด้วย การเรียนคอร์สสอน SEO ของ NaJade หรือ จ้าง SEO Expert อย่าง NaJade ให้ช่วยจัดการเรื่อง Search Engine Optimization ให้คุณได้เลย!