Error Code 404 คืออะไร และวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง อัพเดตล่าสุด 2024

คุณเคยพบข้อความผิดรหัส 404 – ไม่พบหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการเข้าถึงหรือไม่? นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องมีอยู่กับมันตลอดไป ในบทความนี้เราจะสำรวจว่ารหัสข้อผิดพลาด 404 คืออะไร สาเหตุที่เกิดขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือวิธีการตรวจสอบและป้องกันการเกิดขึ้นในอนาคต

รหัสข้อผิดพลาด 404 เกิดขึ้นเมื่อเบราว์เซอร์ของคุณไม่สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์และดึงหน้าเว็บไซต์ที่ร้องขอได้ นี่เป็นรหัสตอบกลับที่สร้างขึ้นโดยเซิร์ฟเวอร์เมื่อไม่พบหน้าหรือทรัพยากรที่ร้องขอ สาเหตุสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่นหน้าเว็บไซต์ถูกลบหรือย้ายไปที่อื่น การพิมพ์ผิดใน URL หรือข้อผิดพลาดในการกำหนดค่าของเซิร์ฟเวอร์

ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด Error Code 404 ก็สามารถทำให้เว็บไซต์เจ้าของและผู้เยี่ยมชมอยู่ในภาวะที่น่าผิดหวัง แต่อย่าตื่นตระหนก เพราะมีขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการเกิดขึ้นอีกครั้งได้

ไม่มีผลลัพธ์ที่พบ 404 คืออะไร?

ไม่ต้องตกใจหากคุณพบรหัสข้อผิดพลาด 404 นั่นหมายความว่าหน้าเว็บที่คุณพยายามเข้าถึงไม่สามารถค้นหาได้ ข้อความผิดพลาดนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นเมื่อเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถหาหน้าเว็บที่คุณกำลังหาได้

นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ ดังนั้นไม่ต้องกังวล! ข้อความผิดพลาด 404 มักมีข้อความสำหรับแสดงอยู่ด้วย เช่น ‘404 Page Not Found’ ข้อความนี้จะปรากฏบนเซิร์ฟเวอร์เมื่อไม่สามารถหาหน้าที่ร้องขอได้

มีหลายเหตุผลที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดนี้ เช่น หน้าเว็บอาจถูกลบหรือย้ายไปยังตำแหน่งอื่น หากคุณพบรหัสข้อผิดพลาด 404 สิ่งแรกที่คุณควรทำคือตรวจสอบ URL เพื่อดูว่าคุณพิมพ์ถูกต้องหรือไม่

หากคุณแน่ใจว่าพิมพ์ถูกต้องแล้ว ลองรีเฟรชหน้าหรือล้างแคชและคุกกี้ของคุณ หากไม่สำเร็จลองใช้เบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์อื่น หากไม่มีวิธีแก้ไขใด ๆ ที่สามารถใช้ได้ หน้าเว็บอาจไม่สามารถใช้งานได้อย่างถาวร

คำว่า “404” เป็นรหัสข้อผิดพลาดที่ใช้ในโปรโตคอล HTTP เพื่อแสดงให้ผู้ใช้ทราบว่าเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถพบหน้าเว็บที่ผู้ใช้ร้องขอได้ หรือไม่พบข้อมูลที่ค้นหา รหัสนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เซิร์ฟเวอร์แสดงให้ผู้ใช้ทราบว่ามีปัญหากับการเข้าถึงหน้าเว็บนั้นๆ โดยส่วนมาก 404 Not Found จะปรากฏบนหน้าเว็บที่ไม่มีอยู่จริง หรือถูกย้ายไปยังตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องหรือถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์

cropped Transparent black rectangle 1

อ่านเพิ่มเติม

SEO คือ อะไร? สำคัญอย่างไร? อัพเดตล่าสุด

สาเหตุที่พบรหัสข้อผิดพลาด 404 บ่อยครั้ง

หนึ่งในเหตุผลที่พบ 404 บ่อยที่สุดคือเนื่องจากลิงก์หมดอายุหรือเสียหาย ซึ่งหมายความว่าหน้าเว็บที่คุณพยายามเข้าถึงอาจไม่มีอยู่แล้วหรือถูกย้ายไปยังตำแหน่งอื่น

หากคลิกที่ลิงก์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เซิร์ฟเวอร์จะส่งรหัสข้อผิดพลาด 404 เพื่อแสดงว่าไม่พบทรัพยากรที่ร้องขอ อีกหนึ่งเหตุผลที่พบรหัสข้อผิดพลาด 404 คือการพิมพ์ URL ผิด สาเหตุนี้สามารถเกิดขึ้นได้หากคุณป้อนที่อยู่ของเว็บไซต์ด้วยตนเองหรือคัดลอกและวางผิด

ในกรณีนี้ เซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถค้นหาทรัพยากรที่ร้องขอได้และจะส่งรหัสข้อผิดพลาด 404 ให้ หากต้องการป้องกันการเกิดปัญหานี้ คุณควรตรวจสอบ URL อีกครั้งก่อนป้อนหรือวาง

การดูแลรักษาเว็บไซต์และอัพเดทอาจเป็นสาเหตุของรหัสข้อผิดพลาด 404 เมื่อเว็บไซต์ผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างบางหน้าเว็บอาจถูกลบหรือเปลี่ยนชื่อ ทำให้เกิดลิงก์เสียหาย ในการแก้ไขปัญหานี้ เจ้าของเว็บไซต์ควรตรวจสอบลิงก์เสียหายและอัปเดตไว้เหมาะสม

เป็นผู้ใช้คุณสามารถลองเข้าถึงเว็บไซต์ในเวลาทีหลังเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่

มีสาเหตุหลายประการที่อาจทำให้พบรหัสข้อผิดพลาด 404 บ่อยครั้ง ดังนี้:

  1. ลิงก์หรือ URL ไม่ถูกต้อง: เมื่อผู้ใช้คลิกที่ลิงก์หรือป้อน URL ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจเกิดจากการพิมพ์ผิด, การลิงก์ที่ผิดพลาด, หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เซิร์ฟเวอร์จะไม่พบหน้าเว็บที่ผู้ใช้ต้องการและส่งรหัสข้อผิดพลาด 404 กลับมาแสดงให้ผู้ใช้ทราบ
  2. การย้ายหน้าเว็บ: หากหน้าเว็บถูกย้ายไปยังตำแหน่งใหม่ โดยไม่มีการกำหนดรหัสเปลี่ยนที่ถูกต้อง (301 Redirect) หรือหน้าเว็บถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์ แล้วผู้ใช้พยายามเข้าถึงหน้าเก่า ซึ่งเซิร์ฟเวอร์จะตอบกลับด้วยรหัสข้อผิดพลาด 404 เนื่องจากไม่พบหน้าเว็บที่ต้องการ
  3. การแจ้งข้อผิดพลาดจากเซิร์ฟเวอร์: เซิร์ฟเวอร์อาจส่งรหัสข้อผิดพลาด 404 กลับมาหาผู้ใช้เมื่อพบข้อผิดพลาดในการดำเนินการ เช่น เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูล, อ่านไฟล์, หรือประมวลผลคำร้องขอได้
  4. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์: หากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์โดยที่ไม่ได้แก้ไขลิงก์หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 เมื่อผู้ใช้พยายามเข้าถึงหน้าเว็บที่ถูกลบหรือย้ายไปแล้ว
  5. การป้อน URL อ้างอิงผิด: บางครั้งผู้ใช้อาจป้อน URL ที่พยายามเข้าถึงหน้าเว็บที่ไม่มีอยู่จริง หรือป้อน URL ที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง เช่นลืมพิมพ์ชื่อไดเรกทอรีหรือชื่อไฟล์ที่ถูกต้อง

หากพบรหัสข้อผิดพลาด 404 บ่อยครั้ง ควรตรวจสอบลิงก์หรือ URL ที่ใช้และตรวจสอบว่าหน้าเว็บที่ต้องการมีอยู่จริงหรือไม่ อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาทางเทคนิคที่ต้องการแก้ไขจากผู้ดูแลเว็บไซต์

คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO สายเทา ได้จากโพสด้านล่างนี้ครับ:

SEO สายเทา

ไม่มีข้อมูลที่สามารถแสดงผลได้ โปรดระบุข้อมูลอื่น ๆ

เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด 404 ให้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ URL เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและอัปเดตล่าสุด บางครั้งการพิมพ์ผิดหรือขาดตัวอักษรเล็กน้อยอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด 404 ดังนั้นการตรวจสอบ URL อีกครั้งสามารถประหยัดเวลาและความไม่พอใจได้มาก

หาก URL ถูกต้องลองลบแคชและคุกกี้ของเบราว์เซอร์ของคุณ อาจทำให้เกิดปัญหาในการโหลดหน้าเว็บได้

วิธีการแก้ไขข้อผิดพลาด 404 อีกวิธีหนึ่งคือตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ ถ้าเซิร์ฟเวอร์ล่มหรือมีปัญหาอาจ导致ข้อผิดพลาด 404 คุณสามารถตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบเว็บไซต์หรือการติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ หากเซิร์ฟเวอร์ล่มคุณอาจต้องรอให้มันกลับมาออนไลน์ก่อนที่จะสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้อีกครั้ง

ในที่สุดหากไม่มีการแก้ไขดังกล่าวทำงานลองติดต่อทีมสนับสนุนลูกค้าของเว็บไซต์ พวกเขาอาจช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุผลที่เกิดข้อผิดพลาด สำคัญที่สุดคือให้พวกเขาได้รับรายละเอียดมากที่สุดเช่น URL และข้อความผิดพลาดที่ได้รับเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบางกรณี อาจจะต้องมีการอัพเดทหรือเปลี่ยนแปลงของเว็บไซต์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดนี้

ขออภัยที่ไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับเหตุผลที่พบรหัสข้อผิดพลาด 404 บ่อยครั้งในกรณีทั่วไป แต่ยังมีสาเหตุเฉพาะอื่นที่อาจส่งผลให้เกิดรหัสข้อผิดพลาดดังกล่าว ได้แก่:

  1. เซิร์ฟเวอร์ผิดการตั้งค่า: การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ไม่ถูกต้องหรือมีปัญหาทางเทคนิคอาจทำให้เกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 บ่อยครั้ง เช่น การกำหนดค่าหน้าเว็บหายไปหรือไม่ถูกต้อง การสร้างเส้นทางสำหรับหน้าเว็บที่ผิดพลาด เป็นต้น
  2. ปัญหาในระบบสร้างเนื้อหา (Content Management System, CMS): หากเว็บไซต์ใช้ CMS เพื่อจัดการเนื้อหา อาจมีปัญหาในการสร้างหน้าเว็บใหม่ การจัดการลิงก์หรือระบบเส้นทางใน CMS ที่ผิดพลาด ทำให้เกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 ได้
  3. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์: การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์อาจทำให้หน้าเว็บเก่าไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว และจะเกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 เมื่อผู้ใช้พยายามเข้าถึงหน้าเว็บเก่า
  4. การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง: หากมีการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงหน้าเว็บหรือไดเรกทอรีเฉพาะ ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาติในการเข้าถึงอาจพบรหัสข้อผิดพลาด 404 เมื่อพยายามเข้าถึงหน้าเว็บเหล่านั้น

เพื่อแก้ไขปัญหา ควรตรวจสอบการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ ระบบสร้างเนื้อหา และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและสอดคล้องกับการเข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการ

cropped Transparent black rectangle 1

ติดต่อเรา

รับสอน SEO คอร์สเรียน SEO #1

การตรวจสอบ URL สำหรับข้อผิดพลาด

การตรวจสอบ URL อย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อผิดพลาดและความยุ่งยากในการเข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการ นี่คือเคล็ดลับในการตรวจสอบข้อผิดพลาดใน URL:

  • ตรวจสอบการพิมพ์ผิด: บางครั้งการทำผิดพลาดเช่นการสะกดคำผิดหรือลืมตัวอักษรอาจทำให้เกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 ขึ้น เช็ค URL อย่างละเอียดและตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวอักษรทั้งหมดถูกสะกดถูกต้อง
  • ตรวจสอบตัวอักษรที่หายไป: บางครั้งการขาดตัวอักษรใน URL อาจทำให้เกิดรหัสข้อผิดพลาด 404 ขึ้นด้วย เช็คว่ามีเครื่องหมายสแลชที่ขาดหายไป จุด ขีดล่างหรือตัวอักษรอื่น ๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับ URL เพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง

การใช้เวลาในการตรวจสอบ URL เพื่อหาข้อผิดพลาดจะช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการเข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการ สิ่งที่ดีกว่าคือการล่วงหน้าและพยายามหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดก่อนที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาในภายหลัง

จำไว้ว่าการทำผิดพลาดเล็กน้อยใน URL อาจทำให้เกิดความยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้นให้ใช้เวลาในการตรวจสอบและพิสูจน์ว่าทุกอย่างถูกต้องก่อนคลิกที่ปุ่ม ‘ค้นหา’

การตรวจสอบ URL เพื่อหาสาเหตุข้อผิดพลาด 404 สามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  1. ตรวจสอบการพิมพ์และสะกด URL: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพิมพ์ URL ที่ถูกต้องและไม่มีการสะกดผิด รวมถึงตรวจสอบตัวพิมพ์ใหญ่เล็ก (เนื่องจาก URL เป็นเคสเซ็นซิทีฟ)
  2. ตรวจสอบลิงก์: หากคุณเข้าถึงหน้าเว็บผ่านลิงก์ที่อยู่บนหน้าเว็บอื่น ลองคลิกที่ลิงก์อีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าลิงก์ยังคงทำงานได้อยู่หรือไม่
  3. ตรวจสอบการเปลี่ยนที่อยู่หน้าเว็บ: หากคุณทราบว่าหน้าเว็บได้ถูกย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ ลองเข้าถึงหน้าเว็บในที่อยู่ใหม่ หากสามารถเข้าถึงได้สำเร็จ แสดงว่าหน้าเว็บถูกย้ายไปแล้ว
  4. ตรวจสอบการเข้าถึงสิทธิ์: ในบางกรณี หน้าเว็บอาจมีการกำหนดสิทธิ์เฉพาะให้กับผู้ใช้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิ์เข้าถึงหน้าเว็บนั้นหรือไม่
  5. ตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่าย: ความผิดพลาด 404 อาจเกิดจากปัญหาในการเชื่อมต่อเครือข่าย ลองโหลดหน้าเว็บอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบว่าเกิดข้อผิดพลาดจากหน้าเว็บเดียวกันหรือไม่

หากคุณได้ทดลองตรวจสอบทุกข้อด้านบนแล้ว แต่ยังพบข้อผิดพลาด 404 อย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ต้องการการแก้ไขจากผู้ดูแลเว็บไซต์ คุณอาจติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์เพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหานี้

SEO

ล้างแคชเบราว์เซอร์ของคุณ

การล้างแคชของเบราว์เซอร์ของคุณสามารถช่วยปรับปรุงประสบการณ์การเรียกดูของคุณและให้คุณเห็นเวอร์ชันของหน้าเว็บที่อัปเดตล่าสุดได้ แคชของเบราว์เซอร์ของคุณจะเก็บไฟล์ชั่วคราว เช่น รูปภาพและสคริปต์ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามหากไฟล์เหล่านี้เก่าหรือเสียหายไป อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นรหัสข้อผิดพลาด 404

การล้างแคชของคุณจะบังคับเบราว์เซอร์ของคุณให้ดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหาหน้าเว็บที่ไม่โหลดได้อย่างถูกต้อง หากต้องการล้างแคชของเบราว์เซอร์ของคุณ คุณต้องเปิดการตั้งค่าของเบราว์เซอร์ของคุณก่อน ขึ้นอยู่กับเบราว์เซอร์ของคุณ อาจพบได้ที่มุมขวาบนของหน้าต่างหรือภายใต้ปุ่มเมนู

เมื่อคุณเข้าถึงการตั้งค่าของคุณ ค้นหาตัวเลือกเพื่อล้างข้อมูลการเรียกดูของคุณ อาจเรียกว่า ‘ล้างประวัติการเรียกดู’,’ล้างแคช’, หรือสิ่งที่คล้ายกัน เลือกตัวเลือกนี้และเลือกช่วงเวลาที่คุณต้องการล้างข้อมูลของคุณ หากต้องการล้างทั้งหมด เลือก ‘ทั้งหมด’ จากนั้นคลิก ‘ล้างข้อมูล’ หรือปุ่มที่คล้ายกันเพื่อทำการเสร็จสิ้นกระบวนการ

สำคัญที่จะทราบว่าการล้างแคชของเบราว์เซอร์ของคุณจะลงชื่อออกจากเว็บไซต์ใดๆ ที่คุณเข้าสู่อยู่ในปัจจุบันด้วยดังนั้นคุณจะต้องเข้าสู่ระบบอีกครั้งหลังจากทำการล้างแคชของคุณ นอกจากนี้การล้างแคชของคุณอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลงเล็กน้อยครั้งแรกที่คุณเข้าชมหลังจากล้างแคชของคุณ เนื่องจากเบราว์เซอร์ของคุณจะต้องดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การล้างแคชของคุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเช่นรหัสข้อผิดพลาด 404 และให้คุณเห็นเวอร์ชันล่าสุดของเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมได้

หากคุณต้องการล้างแคชของเบราว์เซอร์ เราสามารถแนะนำวิธีการทำได้ตามนี้:

  1. Google Chrome:
    • กดปุ่มเมนูที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์ (รูปสามจุด)
    • เลือก “การตั้งค่า”
    • เลื่อนลงไปยังส่วน “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย”
    • เลือก “ล้างข้อมูลที่เลือก”
    • เลือกช่อง “ระบบความจำแคช” และคุก “ล้างข้อมูล”
  2. Mozilla Firefox:
    • กดปุ่มเมนูที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์ (รูปสามแถบ)
    • เลือก “ตัวเลือก”
    • เลือก “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย” ทางด้านซ้าย
    • ไปที่แท็บ “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย”
    • ในส่วน “ประวัติ” คลิกที่ “ล้างประวัติ”
  3. Microsoft Edge:
    • กดปุ่มเมนูที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์ (รูปสามจุด)
    • เลือก “การตั้งค่า”
    • เลือก “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย”
    • ไปที่ส่วน “ล้างข้อมูลความเร็ว”
    • เลือกช่อง “แคช” และคุก “ล้าง”

โปรดทราบว่าการล้างแคชของเบราว์เซอร์อาจทำให้ข้อมูลบางส่วนที่เก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณหายไป รวมถึงการเข้าถึงเว็บไซต์ที่คุณเคยเข้าชม และต้องใส่ข้อมูลเข้าสู่ระบบอีกครั้งในบางกรณี ดังนั้นโปรดคิดหลังจากล้างแคชให้แน่ใจว่าคุณต้องการล้างข้อมูลนี้

cropped Transparent black rectangle 1

อ่านเพิ่มเติม

รับทำ SEO โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google

การรีเฟรชหน้าเว็บ

หากคุณพบว่าหน้าเว็บโหลดช้าหรือมีเนื้อหาที่ล้าสมัยบนหน้าเว็บ เพียงแค่รีเฟรชหน้าเว็บอาจเป็นอย่างที่คุณต้องการทำเพื่อดูการอัพเดตล่าสุด

นี่คือสิ่งที่คุณควรจำไว้เมื่อต้องการรีเฟรชหน้าเว็บ:

  1. ใช้ปุ่มรีเฟรช: นี่เป็นวิธีที่ส่วนใหญ่และง่ายที่สุดในการรีเฟรชหน้าเว็บ แค่คลิกที่ปุ่มรีเฟรชที่ตั้งอยู่ในแถบเครื่องมือของเบราว์เซอร์หรือกด F5 บนคีย์บอร์ดของคุณ
  2. ล้างแคชของคุณก่อน: ก่อนที่จะรีเฟรชหน้าเว็บ คุณควรล้างแคชของเบราว์เซอร์ของคุณเพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังเห็นเวอร์ชันล่าสุดของหน้าเว็บ คุณสามารถทำได้ในการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของคุณหรือโดยใช้แป้นพิมพ์ลัด Ctrl+Shift+Delete
  3. ลองรีเฟรชแบบเข้มข้น: หากหน้าเว็บยังคงไม่มีการอัพเดตหลังจากรีเฟรชปกติ ลองรีเฟรชแบบเข้มข้น นี่จะล้างแคชและโหลดหน้าเว็บใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ คุณสามารถทำได้โดยกด Ctrl+F5 บนคีย์บอร์ดของคุณหรือกดค้างปุ่ม Shift ขณะคลิกที่ปุ่มรีเฟรช

การรีเฟรชหน้าเว็บเป็นวิธีที่ง่ายและง่ายที่สุดในการตรวจสอบเนื้อหาล่าสุด โดยปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถตรวจสอบว่าหน้าเว็บโหลดอย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงข้อความข้อผิดพลาดโค้ด 404 ได้อย่างปลอดภัย

หากคุณต้องการรีเฟรชหน้าเว็บ เราสามารถแนะนำวิธีการทำได้ดังนี้:

  1. ใช้ปุ่มรีเฟรชบนเบราว์เซอร์: ส่วนใหญ่บนแถบเครื่องมือของเบราว์เซอร์จะมีปุ่มรูปลูกศรโค้งกลับ เรียกว่าปุ่มรีเฟรช คุณสามารถคลิกที่ปุ่มนี้เพื่อรีเฟรชหน้าเว็บที่กำลังแสดงอยู่ในแท็บปัจจุบัน
  2. ใช้ลักษณะเฉพาะของแป้นพิมพ์: ในบางเบราว์เซอร์ เช่น Google Chrome และ Mozilla Firefox คุณสามารถกดปุ่ม F5 บนแป้นพิมพ์เพื่อรีเฟรชหน้าเว็บได้
  3. ใช้เมนูคลิกขวา: คลิกขวาบนหน้าเว็บแล้วเลือก “รีเฟรช” หรือ “Reload” จากเมนูที่แสดงขึ้น เมื่อทำเช่นนี้ หน้าเว็บจะรีเฟรชและโหลดข้อมูลใหม่
  4. ใช้ลักษณะเฉพาะของแท็บ: หากคุณต้องการรีเฟรชหน้าเว็บในแท็บที่กำลังแสดง คุณสามารถคลิกที่ปุ่มรีเฟรชที่อยู่ในแท็บเดียวกับหน้าเว็บนั้น

โดยทั่วไปแล้ว การรีเฟรชหน้าเว็บจะทำให้เบราว์เซอร์โหลดหน้าเว็บใหม่และแสดงข้อมูลปัจจุบันที่อัพเดตแล้ว

ลองใช้เบราว์เซอร์อื่น

หากคุณพบปัญหากับเว็บไซต์บางเว็บ คุณอาจต้องพิจารณาใช้เบราว์เซอร์ที่แตกต่างกันไปเพื่อแก้ไขปัญหานั้น บางครั้ง เว็บไซต์อาจไม่โหลดอย่างถูกต้องบนเบราว์เซอร์บางตัวเนื่องจากปัญหาความเข้ากันได้ ในกรณีเช่นนี้ การเปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่นอาจช่วยให้คุณเข้าถึงเว็บไซต์ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

ข้อดีหลักของการลองใช้เบราว์เซอร์อื่นคือ คุณสามารถระบุได้ว่าปัญหาอยู่ที่เว็บไซต์หรือเบราว์เซอร์ของคุณ หากเว็บไซต์โหลดได้อย่างถูกต้องบนเบราว์เซอร์อื่น นั่นหมายความว่าปัญหาอยู่ที่เบราว์เซอร์ของคุณต้นฉบับ นี่อาจช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เว็บไซต์

ข้อดีอื่นของการลองใช้เบราว์เซอร์อื่นคือ มันสามารถให้คุณมีมุมมองใหม่ของเว็บไซต์ได้ เบราว์เซอร์ต่างๆ มีอินเตอร์เฟซและการตั้งค่าที่แตกต่างกันไป และนี่อาจมีผลต่อวิธีการติดต่อกับเว็บไซต์ โดยการลองใช้เบราว์เซอร์อื่น คุณอาจค้นพบฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่คุณไม่รู้จักมาก่อน

โดยรวมแล้ว การใช้เบราว์เซอร์ที่แตกต่างกันสามารถช่วยให้คุณปรับปรุงประสบการณ์การเรียกดูและใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มที่

หากคุณต้องการลองใช้เบราว์เซอร์อื่นเพื่อเปรียบเทียบผลการแสดงผลหน้าเว็บ คุณสามารถทำได้ดังนี้:

  1. ติดตั้งเบราว์เซอร์ใหม่: คุณสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งเบราว์เซอร์ใหม่ที่คุณสนใจ ตัวอย่างเช่น Google Chrome, Mozilla Firefox, Microsoft Edge, Safari เป็นต้น แล้วทดลองเปิดหน้าเว็บในเบราว์เซอร์ใหม่นี้เพื่อดูผลการแสดงผล
  2. เปิดหน้าเว็บในเบราว์เซอร์ที่มีอยู่แล้ว: หากคุณมีเบราว์เซอร์หลายตัวอยู่ในระบบ ลองเปิดหน้าเว็บในเบราว์เซอร์ที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ปัจจุบัน แล้วดูผลการแสดงผลว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่
  3. ใช้โหมดนักพัฒนา (Developer mode): บางเบราว์เซอร์มีโหมดนักพัฒนาที่ให้คุณดูผลการแสดงผลหน้าเว็บได้อย่างละเอียดมากขึ้น โหมดนี้มักจะมีเครื่องมือเพิ่มเติมที่ช่วยในการวิเคราะห์และตรวจสอบเนื้อหาของหน้าเว็บ

โดยลองใช้เบราว์เซอร์อื่น คุณสามารถเปรียบเทียบผลการแสดงผลหน้าเว็บ การโหลดหน้าเว็บ และประสิทธิภาพของเบราว์เซอร์ต่างๆ เพื่อหาความเหมาะสมที่เหมาะกับคุณและความต้องการของคุณ

การตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย

ดังนั้น คุณได้ลองเปลี่ยนเบราว์เซอร์เพื่อดูว่าจะกำจัดรหัสข้อผิดพลาด 404 ออกไปได้หรือไม่ แต่เสียใจที่ว่าไม่ได้ผล อย่าตื่นตัว ยังมีสิ่งที่คุณสามารถลองได้อีก

คุณเคยตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายบนเว็บไซต์ที่คุณพยายามเข้าถึงหรือไม่? ลิงก์ที่เสียหายอาจทำให้รหัสข้อผิดพลาด 404 ปรากฏขึ้นเนื่องจากลิงก์ที่คุณคลิกไม่ได้นำไปสู่ที่ไหนเลย

ในการตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย คุณสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น Broken Link Checker ได้ โปรแกรมนี้จะสแกนเว็บไซต์ที่คุณพยายามเข้าถึงและระบุลิงก์ที่เสียหายได้ หลังจากได้รับรายการลิงก์ที่เสียหายแล้ว คุณสามารถติดต่อเจ้าของเว็บไซต์และขอให้พวกเขาซ่อมแซมลิงก์ได้

นี่คือสี่เหตุผลที่การตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายเป็นสิ่งสำคัญ:

  1. มันเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของผู้ใช้โดยการตรวจสอบให้แน่ใจว่าลิงก์บนเว็บไซต์ทั้งหมดสามารถทำงานได้
  2. มันช่วยในการทำ SEO เนื่องจากเครื่องมือค้นหาจะลงโทษเว็บไซต์ที่มีลิงก์ที่เสียหาย
  3. มันป้องกันรหัสข้อผิดพลาด 404 จากการปรากฏบนเว็บไซต์
  4. มันแสดงว่าเจ้าของเว็บไซต์ใส่ใจถึงเว็บไซต์ของพวกเขาและใช้เวลาในการดูแลรักษา

ดังนั้น ลองตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายดูสิ มันอาจแก้ไขปัญหาและช่วยให้คุณเข้าถึงเว็บไซต์ที่คุณต้องการได้

การตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายเป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ด้านล่างนี้เป็นขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย:

  1. ใช้เครื่องมือตรวจสอบลิงก์: มีเครื่องมือออนไลน์หลายแห่งที่ช่วยตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายในเว็บไซต์ โดยให้คุณป้อน URL ของเว็บไซต์และเครื่องมือจะสแกนและรายงานลิงก์ที่เสียหายให้คุณ ตัวอย่างของเครื่องมือเหล่านี้ได้แก่ Xenu’s Link Sleuth, Screaming Frog SEO Spider, และ Google Search Console.
  2. ตรวจสอบรายงานผู้ใช้: สำรวจรายงานผู้ใช้เพื่อตรวจสอบลิงก์ที่ผู้ใช้รายงานว่าเสียหายหรือไม่ทำงาน คุณสามารถดูในเครื่องมือการวิเคราะห์การเว็บไซต์หรือรายงานผู้ใช้บนแพลตฟอร์มเว็บไซต์ของคุณ เช่น Google Analytics, Google Search Console, หรือโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์อื่น ๆ ที่คุณใช้.
  3. ตรวจสอบรหัสข้อผิดพลาด 404: เมื่อผู้ใช้เข้าถึงหน้าเว็บที่ไม่มีอยู่จริง รหัสข้อผิดพลาด 404 จะแสดงบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ คุณสามารถตรวจสอบรายงานข้อผิดพลาดในเครื่องมือการวิเคราะห์เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์ เพื่อระบุลิงก์ที่เสียหายที่ผู้ใช้พยายามเข้าถึง.
  4. ทำการทดสอบลิงก์แบบมืออาชีพ: ถ้าคุณพบลิงก์ที่เสียหายและต้องการยืนยันอย่างแน่นอน คุณสามารถทดสอบลิงก์ด้วยตนเอง โดยคัดลอก URL และวางลงในเบราว์เซอร์ เพื่อดูว่าลิงก์ทำงานหรือไม่ทำงาน และตรวจสอบข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น.

เมื่อคุณตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย คุณสามารถแก้ไขโครงสร้างลิงก์ให้ถูกต้อง หรือเปลี่ยนที่อยู่ URL เพื่อแก้ไขปัญหาลิงก์ที่เสียหายในเว็บไซต์ของคุณ

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์

หากคุณยังมีปัญหาในการเข้าถึงเนื้อหาที่จำเป็น การติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์อาจเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์

รหัสข้อผิดพลาด 404 มักเป็นสัญญาณแสดงว่าหน้าที่คุณพยายามเข้าถึงได้ถูกลบหรือย้ายไปยังตำแหน่งใหม่ อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะมีปัญหาทางเทคนิคที่ป้องกันไม่ให้คุณเข้าถึงเนื้อหาได้

ในกรณีนี้ การติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์อาจช่วยให้คุณระบุปัญหาและค้นหาวิธีแก้ไขได้ ขณะติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ สิ่งที่สำคัญคือต้องชัดเจนและกระชับเกี่ยวกับปัญหาที่คุณกำลังประสบปัญหา

ให้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึง URL ของหน้าที่คุณพยายามเข้าถึงและข้อความผิดพลาดที่เฉพาะเจาะจงที่คุณได้รับ นี้จะช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์วินิจฉัยปัญหาได้อย่างรวดเร็วและให้คุณได้รับการแก้ไข

โปรดจำไว้ว่าผู้ดูแลเว็บไซต์มักจะไม่ว่างและอาจไม่สามารถตอบกลับได้ทันที อย่างไรก็ตามหากคุณยังไม่ได้รับการตอบกลับภายในไม่กี่วัน คุณอาจต้องติดต่อเตือนอย่างสุภาพ

อย่าลืมเป็นสุภาพและเข้าใจผู้ดูแล โดยเป็นไปตามสภาพว่าพวกเขากำลังทำงานเพื่อช่วยให้คุณแก้ไขปัญหานี้ได้

หากคุณต้องการติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์เพื่อแจ้งปัญหาหรือขอความช่วยเหลือ คุณสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. ตรวจสอบข้อมูลติดต่อ: ทำการตรวจสอบหน้าเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูลการติดต่อผู้ดูแล เช่นหน้าติดต่อ หรือหน้าเกี่ยวกับเว็บไซต์ ซึ่งบางครั้งอาจมีที่อยู่อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ หรือแบบฟอร์มที่คุณสามารถกรอกข้อมูลสอบถามได้
  2. ส่งอีเมลหรือติดต่อทางโทรศัพท์: ใช้ข้อมูลติดต่อที่คุณพบบนเว็บไซต์เพื่อส่งอีเมลหรือโทรติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ อธิบายปัญหาที่พบหรือขอความช่วยเหลือให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้ดูแลเว็บไซต์เข้าใจและสามารถให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง
  3. สำรวจหาข้อมูลการติดต่ออื่นๆ: หากคุณไม่พบข้อมูลการติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ในหน้าเว็บไซต์หรือหน้าติดต่อ ลองสำรวจหาข้อมูลการติดต่ออื่นๆ เช่นการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ของเว็บไซต์หรือการค้นหาข้อมูลผู้ดูแลเว็บไซต์ในเว็บไซต์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง

การติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์จะช่วยให้คุณได้รับความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ ต้องการให้การตอบรับและเข้าใจปัญหาของคุณอย่างละเอียด และช่วยให้คุณได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม

วิธีหลีกเลี่ยงรหัสข้อผิดพลาด 404

เพื่อป้องกันการเจอ 404 ควรอัปเดตและดูแลเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหมายความว่าตรวจสอบลิงก์ที่เสีย, อัปเดตหน้าที่เลิกใช้และลบหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปอย่างสม่ำเสมอ

สำคัญที่จะเก็บเว็บไซต์ของคุณให้เป็นปัจจุบันและสดใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดายโดยไม่เจอข้อผิดพลาด วิธีอื่นๆ ในการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด 404 คือใช้การเปลี่ยนเส้นทาง หากคุณมีหน้าที่ถูกย้ายหรือลบไปแล้ว คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อส่งผู้ใช้ไปยังหน้าที่ถูกต้องได้

สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย แต่ยังช่วยเพิ่ม SEO ของเว็บไซต์ของคุณด้วย โดยใช้การเปลี่ยนเส้นทาง คุณกำลังบอกเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อหาได้ถูกย้ายไปแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ลบไปแล้วเกิดข้อผิดพลาด 404

สุดท้าย ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหมายความว่าตรวจสอบลิงก์ที่เสีย, ทดสอบแบบฟอร์มและองค์ประกอบอื่นๆ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกหน้าโหลดได้อย่างถูกต้อง โดยการทดสอบเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดได้ก่อนที่ผู้ใช้งานของคุณจะเจอ จึงมั่นใจได้ว่าทุกคนที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาด

จำไว้ว่าการดูแลบำรุงเล็กน้อยนั้นจะช่วยลดความยุ่งเหยิงของการเจอข้อผิดพลาด 404 ได้มาก

เพื่อหลีกเลี่ยงรหัสข้อผิดพลาด 404 ในเว็บไซต์ของคุณ นี่คือวิธีที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้:

  1. ตรวจสอบลิงก์ก่อนเผยแพร่: ก่อนที่คุณจะเผยแพร่ลิงก์ไปยังหน้าเว็บใดๆในเว็บไซต์ของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลิงก์ถูกต้องและทำงานได้ คุณสามารถทดสอบการคลิกลิงก์เพื่อตรวจสอบว่าไปยังหน้าเว็บที่ถูกต้องหรือไม่ก่อนที่จะเผยแพร่เป็นลิงก์ในเว็บไซต์ของคุณ
  2. รักษาโครงสร้างลิงก์ที่ถูกต้อง: ในกรณีที่คุณมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่นการเปลี่ยนชื่อไฟล์หรือโฟลเดอร์ หรือการเปลี่ยนที่อยู่ URL ต้องรักษาการอัปเดตลิงก์ที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์และรีไดเรกทอรีอื่นๆที่มีลิงก์อ้างอิง
  3. ใช้การเปลี่ยนเส้นทางถูกต้อง: หากคุณต้องทำการเปลี่ยนเส้นทางหรือย้ายหน้าเว็บ ให้ใช้การเปลี่ยนเส้นทาง (redirect) อย่างถูกต้อง เช่นการใช้รหัสสถานะ 301 Moved Permanently เพื่อแจ้งให้เครื่องมือค้นหาและเบราว์เซอร์รู้ว่าหน้าเว็บได้ย้ายไปยังที่อยู่ใหม่
  4. รักษาการอัปเดต: ทำการตรวจสอบและอัปเดตเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการบำรุงรักษาและอัปเดตลิงก์ โครงสร้างเว็บ และหน้าเว็บต่างๆ ที่ถูกอ้างอิงอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ
  5. รายงานและแก้ไขข้อผิดพลาด: หากผู้ใช้แจ้งปัญหาหรือพบข้อผิดพลาด 404 ในเว็บไซต์ของคุณ ให้รายงานและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์การเข้าถึงเว็บไซต์ที่ดีและไม่พบข้อผิดพลาดเหล่านี้อีกในอนาคต

การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดจำนวนรหัสข้อผิดพลาด 404 และเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับหน้าเว็บในเว็บไซต์ของคุณ

การนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้อง

หากคุณได้ปฏิบัติตามเคล็ดลับจากหัวข้อย่อยก่อนหน้านี้แล้ว คุณจะลดโอกาสในการพบรหัสข้อผิดพลาด 404 บนเว็บไซต์ของคุณได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานการณ์บางกรณีที่ผู้ใช้งานอาจพบลิงก์ที่เสียหายหรือ URL ที่หมดอายุ นี่คือเวลาที่การนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้องมีความสำคัญ

การเปลี่ยนเส้นทางเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ของคุณให้เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางนั้นผู้ใช้งานอาจจะรู้สึกผิดหวังและออกจากเว็บไซต์ของคุณทั้งหมด

นี่คือบางประโยชน์ของการนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้อง:

  • การยืนยันว่าผู้ใช้ได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ถูกต้อง แม้ว่า URL จะเปลี่ยนแปลง
  • ช่วยรักษาการจัดอันดับ SEO ของเว็บไซต์ของคุณโดยการเปลี่ยนเส้นทางจาก URL เก่าเป็น URL ใหม่
  • มีประสิทธิภาพดีกว่าสำหรับผู้ใช้งาน เนื่องจากไม่พบจุดสิ้นสุดหรือลิงค์ที่เสียหาย
  • ช่วยลดอัตราการกลับบ้านซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์ของคุณ

เพื่อนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้อง ให้เริ่มต้นโดยการระบุลิงก์ที่เสียหายหรือ URL ที่หมดอายุบนเว็บไซต์ของคุณ หลังจากคุณมีรายการนั้น คุณสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ถูกต้องโดยใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301 การเปลี่ยนเส้นทางนี้บอกกับเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บไซต์ได้ย้ายไปยังตำแหน่งใหม่อย่างถาวร

การนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ของคุณให้เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำเช่นนี้ คุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์ของคุณและรักษาผู้ใช้งานไว้ ดังนั้น ใช้เวลาเพื่อระบุลิงก์ที่เสียหายหรือ URL ที่หมดอายุและเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ถูกต้องโดยใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301 ผู้ใช้งานของคุณจะขอบคุณคุณสำหรับมัน

เมื่อต้องการนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้อง เพื่อแก้ไขปัญหารหัสข้อผิดพลาด 404 คุณสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. การใช้รหัสสถานะ 301 Moved Permanently: เมื่อคุณเปลี่ยนที่อยู่ URL ของหน้าเว็บ ให้ใช้รหัสสถานะ 301 Moved Permanently เพื่อแจ้งให้เครื่องมือค้นหาและเบราว์เซอร์รู้ว่าหน้าเว็บได้ย้ายไปยังที่อยู่ใหม่อย่างถาวร รหัสสถานะนี้จะทำให้เครื่องมือค้นหาปรับปรุงลิงก์ในดัชนีของพวกเขา
  2. การอัปเดตลิงก์ภายในเว็บไซต์: หลังจากที่คุณเปลี่ยนที่อยู่ URL ของหน้าเว็บ คุณควรอัปเดตลิงก์ที่อ้างอิงไปยังหน้าเว็บนั้นๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณ ตรวจสอบทุกที่ที่มีลิงก์อ้างอิงไปยังหน้าเว็บเก่าและแก้ไขให้ชี้ไปที่ที่อยู่ URL ใหม่
  3. การแจ้งเตือนผู้ใช้: หากมีผู้ใช้ที่เคยบันทึกหรือบุ๊กมาร์กหน้าเว็บเก่า คุณควรแจ้งให้พวกเขาทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและให้ลิงก์ที่ถูกต้องสำหรับหน้าเว็บใหม่
  4. การตรวจสอบและอัปเดตการส่งข้อมูลนอกเว็บไซต์: หากมีการอ้างอิงหน้าเว็บของคุณจากเว็บไซต์อื่นหรือสื่ออื่น ตรวจสอบและอัปเดตข้อมูลการอ้างอิงที่ถูกต้องเพื่อให้ลิงก์ส่งไปยังที่อยู่ URL ใหม่
  5. การสร้างการเปลี่ยนเส้นทางหลายระดับ: หากคุณมีการเปลี่ยนที่อยู่ URL แบบลึกหรือมีการเปลี่ยนที่อยู่ URL หลายระดับ คุณควรสร้างการเปลี่ยนเส้นทางหลายระดับที่ถูกต้อง โดยแต่ละระดับจะใช้รหัสสถานะที่เหมาะสมเช่น 301, 302, หรือ 307 เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนที่อยู่ URL ในแต่ละระดับ

การนำเสนอการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณป้องกันรหัสข้อผิดพลาด 404 และให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้าเว็บใหม่ได้อย่างถูกต้อง

ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเพื่อหาลิงก์ที่เสีย

การตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายบนเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ไม่มีรอยต่อและการหลีกเลี่ยงผู้ใช้ที่หงุดหงิด คุณไม่อยากสูญเสียลูกค้าหรือผู้อ่านที่มีศักยภาพเพียงเพราะพวกเขาคลิกลิงก์ที่เสียหายที่นำพาพวกเขาไปยังหน้าข้อผิดพลาด 404 ไม่เพียงแต่น่ารำคาญสำหรับผู้ใช้ แต่มันยังสามารถทำความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณได้

วิธีหนึ่งในการตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายคือโดยใช้เครื่องมือออนไลน์ที่สแกนเว็บไซต์ของคุณและตรวจพบลิงก์ที่ตายได้ ตัวเลือกยอดนิยมรวมถึง Broken Link Checker, Google Search Console และ Ahrefs โดยเครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ระบุลิงก์ที่เสียหายแต่ยังให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการแก้ไข ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่คล้ายกัน ลบลิงก์ออกทั้งหมดหรืออัปเดต URL

การตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการดูแลรักษาเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ การซ่อมแซมลิงก์ที่เสียหายอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณควรตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอัปเดตเว็บไซต์ของคุณบ่อยหรือเพิ่มเนื้อหาใหม่

โดยการทำเช่นนั้นคุณสามารถรับประกันว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ที่ดีและว่าเว็บไซต์ของคุณดำเนินการได้อย่างดีในการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา

เพื่อที่จะตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเพื่อหาลิงก์ที่เสีย คุณสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. ใช้เครื่องมือตรวจสอบลิงก์: มีเครื่องมือตรวจสอบลิงก์ออนไลน์หลายแห่งที่สามารถสแกนเว็บไซต์ของคุณและรายงานลิงก์ที่เสียหายให้คุณ โดยให้คุณป้อน URL ของเว็บไซต์และเครื่องมือจะสแกนและแสดงรายงานลิงก์ที่ไม่ถูกต้องหรือเสียหาย
  2. ตรวจสอบรายงานผู้ใช้: สำรวจรายงานผู้ใช้เพื่อหาลิงก์ที่ผู้ใช้รายงานว่าเสียหายหรือไม่ทำงาน คุณสามารถตรวจสอบรายงานผู้ใช้บนเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์หรือในแพลตฟอร์มเว็บไซต์ของคุณ เช่น Google Analytics, Google Search Console, หรือโปรแกรมวิเคราะห์เว็บไซต์อื่น ๆ ที่คุณใช้
  3. ใช้เครื่องมือตรวจสอบเว็บไซต์: คุณสามารถใช้ตัวสร้างเว็บไซต์หรือตัวตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อทำการตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายหรือไม่ถูกต้อง โดยตรวจสอบทุกหน้าเว็บที่มีลิงก์และตรวจสอบว่าลิงก์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงได้หรือไม่
  4. ตรวจสอบและอัปเดตลิงก์ภายในเว็บไซต์: ตรวจสอบลิงก์ภายในเว็บไซต์ของคุณเพื่อหาลิงก์ที่เสียหายหรือไม่ถูกต้อง ตรวจสอบทุกลิงก์ที่อ้างอิงไปยังหน้าเว็บอื่นและตรวจสอบว่าลิงก์เหล่านั้นยังใช้งานได้อย่างถูกต้อง
  5. ตรวจสอบแหล่งอ้างอิงภายนอก: ตรวจสอบลิงก์ที่อ้างอิงเว็บไซต์ของคุณจากเว็บไซต์อื่นหรือสื่ออื่น ตรวจสอบแหล่งอ้างอิงและตรวจสอบว่าลิงก์เหล่านั้นยังใช้งานได้อย่างถูกต้อง

การตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเพื่อหาลิงก์ที่เสียหายเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อรักษาคุณภาพของเว็บไซต์และปรับปรุงประสิทธิภาพในการนำทาง โดยตรวจสอบลิงก์อย่างสม่ำเสมอ และแก้ไขลิงก์ที่เสียหายหรือไม่ถูกต้องทันทีเมื่อพบ

การใช้เครื่องมือ Webmaster เพื่อตรวจสอบสุขภาพของเว็บไซต์

การใช้เครื่องมือเว็บมาสเตอร์เป็นวิธีที่ง่ายในการรักษาสุขภาพของเว็บไซต์ของคุณและให้แน่ใจว่ามันทำงานได้ดีที่สุด โดยเครื่องมือเหล่านี้มีคุณสมบัติและข้อมูลที่หลากหลายที่สามารถช่วยให้คุณตรวจสอบสุขภาพของไซต์ของคุณ ระบุปัญหาที่เป็นไปได้ และดำเนินการแก้ไข

โดยตรวจสอบเครื่องมือเว็บมาสเตอร์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น รหัสข้อผิดพลาด 404

หนึ่งในประโยชน์สำคัญของการใช้เครื่องมือเว็บมาสเตอร์คือมันจะให้ข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับสุขภาพและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ เช่น คุณสามารถเห็นว่ามีกี่หน้าบนไซต์ของคุณถูกดัชนีโดยเครื่องมือค้นหา ตรวจสอบลิงค์ที่เสียหาย และตรวจสอบเวลาโหลดของไซต์ของคุณ ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณระบุปัญหาที่เป็นไปได้ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่และดำเนินการแก้ไข

นอกจากการให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพของไซต์ของคุณ เครื่องมือเว็บมาสเตอร์ยังมีคุณสมบัติเชิงวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น หากคุณเห็นการลดการเข้าชมโดยไม่คาดคิดหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของรหัสข้อผิดพลาด คุณสามารถใช้เครื่องมือเว็บมาสเตอร์ของคุณเพื่อสอบถามปัญหาและระบุสาเหตุของปัญหา ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ที่คุณมีอยู่ คุณสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและรักษาเว็บไซต์ของคุณให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

การใช้เครื่องมือ Webmaster เป็นวิธีที่ดีในการตรวจสอบสุขภาพของเว็บไซต์ของคุณ นี่คือวิธีที่คุณสามารถใช้เครื่องมือ Webmaster เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงสถานะของเว็บไซต์ได้:

  1. Google Search Console: ลงทะเบียนและเพิ่มเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการเรียกดูของเว็บไซต์ คุณสามารถเช็คการดัชนีของเว็บไซต์ ตรวจสอบการแสดงผลในการค้นหา และตรวจสอบการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ได้
  2. Google Analytics: เพิ่มการติดตั้ง Google Analytics เพื่อตรวจสอบการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์ เช่นจำนวนผู้เข้าชม เวลาในการใช้งาน เปอร์เซ็นต์การเรียกดูหน้า เป็นต้น
  3. PageSpeed Insights: ใช้ PageSpeed Insights เพื่อวัดความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ คุณจะได้รับการประเมินและคำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพการโหลดของเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกดู
  4. Mobile-Friendly Test: ใช้ Mobile-Friendly Test ของ Google เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีการออกแบบให้เหมาะสมและใช้งานได้สะดวกกับอุปกรณ์มือถือ และหน้าจอขนาดเล็ก
  5. Screaming Frog: ใช้เครื่องมือ Screaming Frog เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของเว็บไซต์ คุณสามารถตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย สถานะการเชื่อมโยง และข้อผิดพลาดอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นในเว็บไซต์ของคุณ

การใช้เครื่องมือ Webmaster เหล่านี้จะช่วยให้คุณตรวจสอบและปรับปรุงสุขภาพของเว็บไซต์ของคุณ และช่วยให้คุณปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานและประสบการณ์ผู้ใช้ของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

สรุปได้ว่า ตอนนี้ที่คุณเข้าใจว่ารหัสข้อผิดพลาด 404 คืออะไรและสาเหตุ ต่อไปคือเวลาให้คุณดำเนินการ เรื่องการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นไม่ยากเกินไป และคุณสามารถล้างแคชของเบราว์เซอร์หรือตรวจสอบ URL สำหรับข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าที่อื่น คุณสามารถใช้การเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่เหมาะสมและตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเพื่อป้องกันการเกิดลิงค์เสียของผู้เข้าชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือมาสเตอร์เพื่อตรวจสอบสุขภาพของเว็บไซต์ของคุณสามารถช่วยคุณตรวจพบปัญหาก่อนที่จะกลายเป็นปัญหา ด้วยการดำเนินการเหล่านี้ คุณสามารถรับประสบการณ์เว็บไซต์ที่ราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาดสำหรับผู้เข้าชมได้อย่างสมบูรณ์แบบ